มีเสียงอื้ออึงขึ้นทันทีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีตอบโต้ไปยัง 14 ประเทศ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมาโดยไทยเจอภาษี 36% เต็มตามอัตราที่สหรัฐฯประกาศไว้ก่อนหน้า ไม่ลดแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว โดยอัตราภาษีใหม่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม นี้เป็นต้นไป
เสียงจากภาคเอกชน เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกกับสื่อว่า อัตราภาษีดังกล่าวสูงกว่าที่ภาคเอกชนคาดเอาไว้ และสูงกว่าทุกประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม (20%) อินโดนีเซีย (32%) และมาเลเซีย (25%) ซึ่งสะท้อนว่าไทยกำลังเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน พร้อมประเมินเบื้องต้นว่า ภาษีมหาโหดของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าหลัก เช่น อาหารแปรรูป สินค้าเกษตร ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อัญมณี เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อการส่งออกไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท ย้ำ 8-9 แสนล้านบาท
ก่อนหน้ามีการ “เก็ง” กันว่า ภาษีทรัมปสำหรับประเทศไทย อาจจะถูกเรียกเก็บภาษี 18% โดยอิงจากกรณีเวียดนามที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมากว่าไทย สามารถตกลงอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯได้ที่ 20% (จาก 46%) โดยเวียดนามเสนอเงื่อนไขพิเศษสุด ให้สินค้าสหรัฐฯเข้าถึงตลาดเวียดนามแบบไร้ภาษีศุลกากร หรือ 0% และสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษี 40% สำหรับภาษีสินค้าส่งออกผ่านเวียดนาม
เสียงอีกมุมจาก รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องว่าด้วย #สงครามการค้าสหรัฐอเมริกา อาจารย์ได้เปิดฉากวิพากษ์จดหมายที่ทรัมป์ส่งถึงไทยว่า ไม่มีความเป็นทางการ ไม่มีธรรมเนียมและพิธิการทูต ภาษาที่ใช้ว่ามีปัญหา และแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่มีความจริงใจ หรือพูดกันแบบบ้าน ๆ คือภาษาเฮงซวยนั่นเอง
พร้อมวิจารณ์ด้วยว่า ทรัมป์กล่าวหาชาติอื่น (เอาเปรียบได้ดุลการค้าสหรัฐฯ) โดยไม่มีพื้นฐานความเป็นจริงรองรับ อาทิ กล่าวหาว่า “สหรัฐขาดดุลการค้า และเสียผลประโยชน์เนื่องจากนโยบายการค้าที่ไม่เป็นธรรมโดยประเทศไทย ทั้งที่ในความเป็นจริงสาเหตุของการขาดดุลการค้าของสหรัฐเกิดจากความสามารถทางการแข่งขันของสหรัฐที่ตกต่ำ มาตรการกีดกันทางการค้าของไทยไม่ได้สูงถึงขนาดที่สหรัฐกล่าวหา และตัวเลข 36% ก็ไม่มีที่มาที่ไปอย่างมีหลักวิชาการรองรับ”
เป็นการวิพากษ์เชิงวิชาการที่ดุดันมาก และชวนให้ฉุกคิดว่าอัตราภาษีตอบโต้ 36% ที่ทรัมป์ยัดให้ไทยนั้น มาจากไหนคิดจากฐานอะไร เรื่องนี้ไม่ทราบว่า พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง หัวหน้าทีมไทยแลนด์ผู้ทำหน้าที่ เจรจา (และควรต่อรองด้วย) ได้ถามทางสหรัฐฯหรือไม่ว่าที่มาที่ไปของอัตราภาษีตอบโต้ 36% ได้แต่ใดมา หรือ Say Yes อย่างเดียว
ตอนนี้ทรัมป์นั่งกระดิกเท้ารอ ข้อเสนอที่จุใจกว่าเดิม จากประเทศเหยื่อมาตรการภาษีตอบโต้ โดยประเทศไทย หากพินิจจากท่าทีของ พิชัย รองนายกฯและรมว.คลัง ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าจะ อัปเกรดข้อเสนอให้สหรัฐฯเพื่อแลกกับ อัตราภาษีที่ลดลง
วันที่ 7 กรกฎาคม พิชัยให้สัมภาษณ์สื่อถึงข้อเสนอเพิ่มเติมที่ส่งกลับไปสหรัฐฯหลังการเจรจารอบแรกแบบพบหน้าอย่างเป็นทางการที่สหรัฐฯ ปิดดีลไม่ลง มีสินค้าจำนวนเยอะพอสมควรที่จะให้อัตรา 0% แต่ไม่ได้ให้ทั้งหมด และจะดำเนินการโดยไม่ทำให้ประเทศผู้ค้าอื่น ๆ ที่ประเทศไทยมีข้อตกลงด้วยนั้นเสียเปรียบ ส่วนสินค้าเกษตรมีการพิจารณาว่า ตัวไหนเรารับได้หรือรับไม่ได้
วันถัดมา พิชัย โพสต์ตอนหนึ่งว่า .. กรณีสหรัฐฯ เผยแพร่หนังสือแจ้งว่าจะเริ่มเก็บภาษีสินค้าจากไทย 36 % ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 แง่หนึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่เราจะมีเวลาในการเจรจาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นโอกาสโน้มน้าวให้สหรัฐอเมริกาทบทวนอัตราภาษีอีก
“ผมขอ ย้ำว่า ตอนนี้ภาษียังอยู่ที่ 10% เหมือนเดิม ยกเว้นบางสินค้าจนถึง 31 ก.ค. ซึ่งทีมเจรจาของไทยยังสู้และต่อรองอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะหาทางออกเพิ่ม เพื่อให้ไทย ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดครับ และตอนนี้อเมริกาเปิดโอกาสให้ไทยเจรจา ถ้าไทยเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากขึ้น ลดภาษีและกำแพงการค้าที่ไม่ใช่ภาษีลง สหรัฐฯ ก็พร้อมทบทวนอัตราภาษีให้เราใหม่ ..
จับความที่ พิชัย กล่าวข้างต้น มีแนวโน้มสูงว่า ไทยอาจจะยอมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯเข้าถึงตลาดไทยแบบไร้ภาษี หรือ 0% โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯอยากทะลวงเข้ามาหลายตัว ส่วนตัวไหนจะถูกเลือกไปเซ่นไหว้ภาษีทรัมป์เร็ว ๆ นี้คงมีคำตอบ แน่นอนว่าดีลนี้คงไม่ได้จบแบบ Win-Win ตามที่รองนายกฯพิชัยตั้งใจไว้แต่แรก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โมเมนตัมเศรษฐกิจที่ดี แค่วาทกรรม