บนหิ้งในห้องปฏิบัติการของนักวิจัยไทย อาจมีผลงานมูลค่ามหาศาลซ่อนตัวอยู่ รอวันที่จะถูกนำมาต่อยอดเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศ แต่คำถามสำคัญที่ก้องดังมานานคือ ทำไมงานวิจัยเหล่านั้นจึงมักจบลงแค่บนแผ่นกระดาษตีพิมพ์? และเราจะทลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่าง “ห้องแล็บ” กับ “ตลาดโลก” ได้อย่างไร?
คำตอบของโจทย์ใหญ่ระดับชาตินี้ ถูกทำให้เห็นอย่างแจ่มชัดผ่านมุมมองและวิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผู้ชี้ให้เห็นทั้ง “อุปสรรค” ที่ต้องก้าวข้าม และ “โอกาส” มหาศาลที่รออยู่ข้างหน้า
ความจริงที่น่ากังวล: เมื่อ “งบวิจัย” ไม่ทัน “ความฝัน”
อุปสรรคด่านแรกที่ใหญ่ที่สุดคือ “งบประมาณ” ศ.ดร.คมกฤต เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า การลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมของภาครัฐไทยอยู่ที่เพียงประมาณ 0.16% ของ GDP ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1% ของ GDP นั่นหมายถึงประเทศไทยกำลังขาดแคลนงบประมาณในส่วนนี้อยู่ถึงราว 140,000 ล้านบาท นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือต้นทุนค่าเสียโอกาสมหาศาลที่ประเทศต้องจ่ายไปในแต่ละปี
เพื่อทลายมายาคติที่ว่า “งานวิจัยไทยมีไว้ขึ้นหิ้ง” ศ.ดร.คมกฤต ยกตัวอย่างที่ทรงพลังจากประสบการณ์ตรงของท่านเองกับงานวิจัย “การคัดแยกสเปิร์ม X และ Y” ที่หลังจากตีพิมพ์ไปแล้ว กลับมีนักวิจัยจากแคนาดาส่งอีเมลมาขอซื้อไปต่อยอดใน “อุตสาหกรรมวัว” เพื่อคัดเลือกเพศสัตว์ตามต้องการ
“แต่ผมบอกว่าเอ้ย ของผมทำเป็นขนาดเล็กนิดเดียวนะครับ…เป็นไมครอนนะครับ ขนาดเล็กมาก เป็นชิปขนาดเล็ก” ศ.ดร.คมกฤต เล่า “เพราะฉะนั้นไม่เหมาะกับการใช้ในวัว เหมาะกับการใช้ในการคัดแยกสเปิร์มในคน เพื่อที่จะกำหนดเพศ เพราะโรคบางโรคมากับเพศด้วยเหมือนกัน”
เรื่องราวนี้เปรียบเสมือนภาพสะท้อนชั้นดีว่า งานวิจัยของไทยมีศักยภาพสูงพอที่จะเป็นที่ต้องการของตลาดโลก แต่การจะนำไปสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรมได้นั้น จำเป็นต้องมีกลไกสนับสนุนและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล
AI for Soft Power: ภารกิจปั้นเศรษฐกิจ 6.2 หมื่นล้านด้วยปลายนิ้ว
เมื่อมองไปข้างหน้า สกสว. กำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ผ่านโครงการ “AI for Soft Power” ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาแอปพลิเคชันท่องเที่ยวไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Large Language Model (LLM) โดยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง 1.25 ล้านราย และสร้างเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจถึง 62,500 ล้านบาท
ศักยภาพของ AI ยังแผ่ขยายไปถึงวงการแพทย์อย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแพทย์วินิจฉัย “เบาหวานขึ้นตา” หรือการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ยาก เพราะ AI สามารถประมวลผลข้อมูล “หลายหมื่นช็อตต่อวัน” เพื่อมองหาสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาและถูกมองข้ามไปได้
ลายแทงจีโนม 1,200 ล้าน: พิมพ์เขียวสร้าง “Medical Tourism” แห่งอนาคต
จุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวิสัยทัศน์นี้ คือการนำข้อมูลจีโนมมาสร้างพิมพ์เขียวให้กับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ประเทศไทยได้ลงทุนในศูนย์ถอดรหัสพันธุกรรมไปแล้วถึง 1,200 ล้านบาท เพื่อถอดรหัสจีโนมของคนไทย 50,000 คน
ศ.ดร.คมกฤต ได้ฝากคำถามถึงนักวิจัยไทยไว้อย่างน่าคิด “ผมพูดทุกเวทีนะครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามถ้านักวิจัยไทยไม่ใช้ประโยชน์จากโฮจีโนมซีเควนซิ่ง เราจะบอกได้อย่างเดียวครับว่าคนไทยอาจจะมาจากตอนใต้ของจีน ซึ่งเรารู้มานานแล้ว”
นี่คือลายแทงขุมทรัพย์ที่รอการนำไปใช้ ลองจินตนาการถึงโลกที่นักท่องเที่ยวหนึ่งคนสามารถรับคำแนะนำเฉพาะบุคคลจากข้อมูลพันธุกรรมของตัวเองได้ว่า “ควรจะไปพักผ่อนที่ภูเขาหรือทะเล ควรทานอาหารแบบไหนควรนวดน้ำมันหรือนวดแผนไทย” วิสัยทัศน์นี้ไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาลให้กับการท่องเที่ยว แต่ยังจะผลักดันให้เกิดมาตรฐานใหม่ของคลินิกและสถานบริการสุขภาพของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก
การจะปลดล็อกอนาคตของประเทศไทยได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กล้าจะเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การให้ทุน การทำวิจัยที่มีเป้าหมาย ไปจนถึงการสร้างแพลตฟอร์มระดับชาติ เพื่อเปลี่ยน “งานวิจัยบนหิ้ง” ให้กลายเป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ที่ทรงพลังอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อายิโนะโมะโต๊ะ เปิดแผนปี 68 ลุยขยายตลาด หนุนโภชนาการกีฬา ใช้ FarmAI ลดคาร์บอน
อาลีบาบา คลาวด์ แนะเสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลไทย ด้วยนวัตกรรม AI และ Cloud