Share on
×

Share

‘On-Chain Economy-ภาษีคาร์บอน’ เมกะเทรนด์ที่ธุรกิจไทยต้องเผชิญ

โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อสองเมกะเทรนด์ใหญ่อย่าง “ระเบียบการเงินดิจิทัล” และ “เศรษฐกิจสีเขียวภาคบังคับ” กำลังบรรจบกัน ข้อมูลเชิงลึกจากเวทีเศรษฐกิจโลกชี้ว่า ยุทธศาสตร์ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์สำรองของชาติกำลังกลายเป็นความจริง ควบคู่ไปกับการมาถึงของ “ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ” ในไทยภายใต้กฎหมายใหม่ โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นตัวกลางเชื่อมโยงสองโลกเข้าด้วยกัน นี่คือภาพอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นจริง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางการลงทุนและกลยุทธ์ทางธุรกิจนับจากนี้ไป

On-Chain Economy: เมื่อทุกสิ่งในโลกกลายเป็น “โทเคน”

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Bitkub Capital Group กล่าวถึงเบื้องหลังการเดินทางไปร่วมประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ซึ่งเป็นการลงทุนส่วนตัวกว่า 10 ล้านบาทต่อครั้ง เพื่อเข้าถึงทิศทางของโลกและผู้นำที่ทรงอิทธิพล เขาย้ำว่าบนเวทีระดับโลกนี้ แม้แต่ผู้ฟังก็คือผู้ที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในประเทศของตนเองได้

จิรายุสชี้ว่า โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนโดยความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน (A World of Distrust) ดังที่เห็นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้หลายประเทศตระหนักว่าการ “ยืนจมูกอเมริกาหายใจ” หรือพึ่งพาระบบการเงินเก่าที่ไม่ได้อัปเกรดมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 (เช่น SWIFT, Visa, Mastercard) นั้นมีความเสี่ยงสูงเกินไป สิ่งนี้คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องประกาศวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำในสองสมรภูมิหลักอย่างชัดเจน: AI Hub และ Digital Asset Hub

สำหรับกลยุทธ์ Digital Asset Hub นั้น ประกอบด้วยสองยุทธศาสตร์สำคัญ คือ 1. Stablecoin Strategy การผลักดัน Stablecoin ให้เป็นระบบชำระเงินใหม่ของโลก ด้วยปริมาณธุรกรรมที่สูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะแซงหน้าเครือข่ายบัตรเครดิตทั้งหมดในไม่ช้า และ 2. Bitcoin Strategy แผนการเข้าสะสม Bitcoin ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ ด้วยเป้าหมายซื้อปีละ 200,000 BTC เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะกลายเป็น “Game Theory” บีบให้ทุกประเทศและทุกบริษัทมหาชนต้องหันมาพิจารณาถือ Bitcoin เพื่อหนีจากภาวะการด้อยค่าของเงินเฟียต

จิรายุสขยายความต่อว่า เทรนด์ที่ใหญ่กว่านั้นคือ “On-chain Economy” หรือเศรษฐกิจที่ทุกสินทรัพย์จะถูกแปรสภาพเป็นดิจิทัลโทเคน (Tokenization) และถูกซื้อขายแลกเปลี่ยนบนบล็อกเชน “ทำไมการซื้อขายหุ้นยังต้องมีใบหุ้นที่ TSD? ทำไมโฉนดที่ดินยังเป็นกระดาษในยุคดิจิทัล?” เขาตั้งคำถาม พร้อมชี้ว่าในอนาคตอันใกล้ สินทรัพย์ทุกอย่าง ตั้งแต่หุ้น ที่ดิน ไฟฟ้า ไปจนถึงงานศิลปะ จะถูกเปลี่ยนเป็นโทเคน ทำให้สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส โดยมี Stablecoin เป็นสื่อกลางในการชำระราคา นี่คือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินแห่งอนาคตที่แท้จริง

คาร์บอนเครดิต: ตลาด 2 ล้านล้านเหรียญและการมาถึงของกฎหมายภาคบังคับ

ในฟากของความยั่งยืน ดร.กิตติ์โสภณ ธนินสิริพิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต จาก Zimmermann กล่าวว่าข้อมูล White Paper จาก WEF Climate Group ฉบับเดือนมกราคม 2024 ระบุว่า โลกจะต้องใช้เงินลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2050 โดยในจำนวนนี้จะเป็นตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สอดคล้องกับเทรนด์นี้ เบญจาสุพรรณกุล ที่ปรึกษากฎหมายฯ จาก Baker & Mckenzie ได้ยืนยันว่า กฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยกำลังจะบังคับใช้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะเปลี่ยนตลาดคาร์บอนเครดิตจากภาคสมัครใจสู่ภาคบังคับอย่างเต็มตัว ส่งผลให้บริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินโควต้าต้องจ่ายภาษีคาร์บอน หรือหาซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย ทำให้ความต้องการและราคาของคาร์บอนเครดิตพุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แก้ปัญหา “Double Counting” ด้วย Blockchain

ภาสกรปานนอกซีอีโอ Bitkub Blockchain Technology กล่าวว่า ปัญหาคลาสสิกของตลาดคาร์บอนเครดิตคือ Double Counting ซึ่งเกิดจากการซื้อขายแบบ OTC (Over-the-counter) ที่ขาดการตรวจสอบ “ผมอาจจะนำใบรับรองคาร์บอนเครดิต 1,000 ตัน ไปขายให้หลายเจ้าในปริมาณเดียวกัน”

เขาอธิบายว่า Blockchain จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาด โดยใช้ “Smart Contract” ที่ฝังเงื่อนไขการซื้อขายและการใช้งาน (Offset) ไว้บนระบบ ทำให้ทุกหน่วยของคาร์บอนเครดิตที่เป็นโทเคนสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมดว่าถูกเปลี่ยนมือหรือถูกใช้ไปแล้วหรือยัง ซึ่งแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่สามารถรองรับได้มีหลากหลาย เช่น Ethereum, Solana, Polygon และของคนไทยเองอย่าง Bitkub Chain

ด้าน เนาวรัตน์ ธรรมสวยดี ซีอีโอ Bitkub Portal กล่าวเสริมว่า โมเดลการระดมทุนแบบ ICO บน บิทคับ พอร์ททอล จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้โครงการที่ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ปีในการพัฒนา เช่น โครงการปลูกป่า สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเมกะเทรนด์นี้

เรื่องเล่าจากใจและบทสรุปสุดท้ายถึงนักลงทุน

ในช่วงท้าย จิรายุสได้เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่สะท้อนภาพอนาคตได้อย่างทรงพลังที่สุด คือประสบการณ์ที่ดาวอส เขาต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อพักในห้องพักที่ประตูห้องน้ำชนกับเตียงและไม่มีหน้าต่าง ท่ามกลางอากาศหนาวติดลบ ในขณะที่ได้พบกับนักธุรกิจชาวอินโดนีเซีย ผู้บุกเบิกโครงการขายคาร์บอนเครดิตในป่าของอินโดนีเซียมาตั้งแต่ 15 ปีก่อน จนปีล่าสุดทำกำไรไปกว่า 4,000 ล้านบาท และได้รับเชิญมาพักฟรีในโรงแรมสุดหรูบนยอดเขาสวิสในฐานะผู้ได้รับรางวัลระดับโลก นี่คือภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนที่สุดระหว่าง “ผู้ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อไล่ตามอนาคต” กับ “ผู้ที่ได้รับรางวัลจากอนาคตเพราะลงมือก่อน”

เขาปิดท้ายด้วยแก่นการลงทุนที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ว่า “การเสื่อมค่าที่แท้จริงของเงิน (Currency Debasement) อยู่ที่ 15-20% ต่อปี ไม่ใช่ตัวเลข CPI ที่ภาครัฐประกาศ” นั่นหมายความว่า การลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ ก็ตาม ต้องสร้างผลตอบแทนให้ได้มากกว่า 20% ต่อปี เพียงเพื่อจะเท่าทุนในแง่ของอำนาจซื้อที่แท้จริง และในสภาวะเช่นนี้ มีสินทรัพย์เพียง 2 ประเภทเท่านั้นที่สามารถเอาชนะการด้อยค่าของเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ คือ “หุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง” และ “Bitcoin”

“ดังนั้น การเพิกเฉยต่อสินทรัพย์ดิจิทัลและเทรนด์แห่งอนาคตเหล่านี้ ไม่ใช่แค่การพลาดโอกาส แต่คือการปล่อยให้ความมั่งคั่งของตนเองถูกกัดกร่อนไปอย่างเงียบ ๆ การเริ่มต้นศึกษาและจัดสรรการลงทุนในวันนี้ จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในโลกเศรษฐกิจใหม่ที่มาถึงแล้ว”​ จิรายุส กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

5 ไฮไลต์เศรษฐกิจโลก จากเวทีประชุมผู้นำ Davos 2025 โดย ท๊อป-จิรายุส

เกมรุกของ ‘พชร อารยะการกุล’ นำทัพบลูบิคสู่ SET ประกาศกร้าวสู่เป้าหมาย ‘SET100’ ใน 3 ปี

×

Share

ผู้เขียน