ผลสำรวจล่าสุดจาก DoubleVerify (DV) แพลตฟอร์มชั้นนำด้านการตรวจสอบคุณภาพสื่อดิจิทัล เผยภาพรวมที่น่าสนใจของวงการโฆษณาไทยในปี 2568 แม้จะมีข่าวดีที่อัตราการมองเห็นโฆษณา (Viewability) ของไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 76% จนติดอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แต่ในขณะเดียวกันก็มีสัญญาณเตือนที่น่ากังวล เมื่ออัตราการละเมิดความเหมาะสมต่อแบรนด์ (Brand Suitability) กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 19%
รายงานเชิงลึกระดับโลกประจำปี 2025 ของ DV ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโฆษณากว่าล้านล้านครั้งทั่วโลก ได้ฉายภาพสองด้านของตลาดโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทยที่นักการตลาดและแบรนด์ไม่อาจมองข้าม
ความสำเร็จด้านการมองเห็นและความสนใจ
นับเป็นความสำเร็จที่โดดเด่นของไทย เมื่ออัตราการมองเห็นโฆษณาที่แท้จริง (Viewability Rate) เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 76% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 61% ส่งผลให้ไทยครองอันดับ 3 ในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ “ดัชนีความสนใจ” (Attention Index) ของไทยยังอยู่ที่ 115 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 15% สะท้อนว่าโฆษณาในไทยไม่เพียงแค่ถูกมองเห็น แต่ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้ดีอีกด้วย
อีกหนึ่งจุดแข็งคือ อัตราการฉ้อโกงและทราฟฟิกปลอม (Fraud/SIVT) ของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพียง 0.4% ซึ่งต่ำเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาคเช่นกัน
ความท้าทายใหญ่: ความปลอดภัยของแบรนด์ (Brand Safety)
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางตัวเลขที่น่าชื่นชม กลับมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ โดยรายงานชี้ว่า อัตราการละเมิดความเหมาะสมต่อแบรนด์ในไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 19% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.1% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาค (7.7%)
DV วิเคราะห์ว่า การเพิ่มขึ้นนี้มีสาเหตุหลักมาจาก “เหตุการณ์ในประเทศที่มีเนื้อหาอ่อนไหว” (Sensitive Domestic Events)ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้แบรนด์อาจถูกนำไปแสดงผลข้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น ข่าวรุนแรง ประเด็นขัดแย้ง หรือเนื้อหาที่สร้างความแตกแยกโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งประเด็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคที่พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์น้อยลง หากพบว่าโฆษณานั้นปรากฏอยู่ติดกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นเท็จ
คอนราด ทัลลาริตี้ กรรมการผู้จัดการของ DoubleVerify ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การบริโภคเนื้อหาออนไลน์ในประเทศไทยเติบโตขึ้นทุกวัน นักโฆษณาจึงเผชิญทั้งความท้าทายและโอกาส สิ่งสำคัญคือการวางกลยุทธ์ให้แบรนด์แสดงโฆษณาอย่างสอดคล้องกับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เพื่อรักษาค่าดัชนีความสนใจให้อยู่ในระดับสูง”
มุมมองผู้บริโภคและทิศทางนักการตลาด
รายงานยังเผยให้เห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคใน APAC ที่น่าสนใจ คือใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวัน โดยส่วนใหญ่อยู่บนโซเชียลมีเดีย แต่ในขณะเดียวกัน ภาวะเบื่อโฆษณา (Ad Fatigue) ก็สูงขึ้นเช่นกัน โดย 46% ของผู้ใช้เลือกใช้โปรแกรมบล็อกโฆษณา (Ad Blocker)
ในฝั่งนักการตลาดเองก็กำลังปรับตัว โดยหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางใหม่ๆ มากขึ้น เช่น เครือข่ายโฆษณาบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (Retail Media Networks) และพบว่ารูปแบบโฆษณาอย่าง Reels และ Feed บนโซเชียลมีเดียยังคงให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลจาก DoubleVerify ในปีนี้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้นักการตลาดไทยเห็นว่า การมีอัตราการมองเห็นและความสนใจที่สูงนั้นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ แต่อีกครึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การปกป้องแบรนด์จากความเสี่ยงที่จะไปปรากฏในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว
ดังนั้น การใช้เครื่องมือและข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เพื่อคัดกรองบริบทของเนื้อหาและเพิ่มความปลอดภัยให้แบรนด์ จึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็น” ในการลงทุนกับสื่อดิจิทัลที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกบาทที่จ่ายไปจะสร้างทั้งผลลัพธ์และการปกป้องที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Meta เปิดสมรภูมิใหม่ ใช้ AI พลิกแชตธุรกิจไทยสู่เครื่องปั๊มกำไร
อายิโนะโมะโต๊ะ เปิดแผนปี 68 ลุยขยายตลาด หนุนโภชนาการกีฬา ใช้ FarmAI ลดคาร์บอน