SCG เผยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งแรกของปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง สวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และสื่อมวลชนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ความสำเร็จจากการลดต้นทุนอย่างจริงจัง การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการพลิกเกมด้วยการปรับพอร์ตสินค้า พร้อมประกาศกลยุทธ์สำหรับครึ่งปีหลัง มุ่งเน้นการใช้ฐานการผลิตในอาเซียน ลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และรุกตลาดด้วยสินค้า “Smart Value” เพื่อรับมือกับความผันผวนทางการค้าและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568: กำไรเติบโตสวนรายได้ สะท้อนการฟื้นตัวชัดเจน
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการขายในครึ่งปีแรกของ SCG อยู่ที่ 249,000 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในทางตรงกันข้าม ผลกำไรกลับเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในที่ยอดเยี่ยม โดยบริษัทมีกำไรสุทธิตามที่รายงานอยู่ที่ 8,436 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวได้รวมกำไรพิเศษครั้งเดียวที่ไม่ได้เป็นเงินสด (One-time, Non-cash) จากการปรับโครงสร้างการลงทุนไว้ด้วย
เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ธรรมศักดิ์ ได้เน้นย้ำถึงตัวเลข กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Operation) ซึ่งหากปรับรายการพิเศษออกไปแล้ว จะอยู่ที่ 33,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปีก่อนหน้า และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธุรกิจหลักของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นจริง
ธรรมศักดิ์ยังชี้ให้เห็นว่า ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการประเมินประสิทธิภาพของ SCG ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ EBITDA และกระแสเงินสด โดยในครึ่งปีแรกนี้ SCG สามารถทำ EBITDA ได้สูงถึง 33,320 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นจากครึ่งหลังของปีก่อนถึง 21% การเติบโตนี้เป็นผลโดยตรงมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพในธุรกิจซีเมนต์ การใช้เทคโนโลยีและ AI มาช่วยบริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลในธุรกิจแพคเกจจิ้ง และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้นจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง
ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บริษัทมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2 สูงถึง 45,542 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้จึงเป็นบทสรุปของความพยายามในการปรับโครงสร้างและแก้ปัญหาต่าง ๆ ตลอดปีที่ผ่านมา และถือเป็น “การเทิร์นอะราวด์ที่ชัดเจน” อย่างแท้จริง
เบื้องหลังความสำเร็จ: 3 กลยุทธ์หลักที่ผลิดอกออกผล
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการดำเนินกลยุทธ์หลัก 3 ด้านอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในสภาวะที่ตลาดโลกเต็มไปด้วยความท้าทาย
- การลดต้นทุนเชิงรุก: สร้างเกราะป้องกันเพื่อแข่งขันในระดับโลก
กลยุทธ์ด้านการลดต้นทุนถูกยกระดับความสำคัญสูงสุด เพื่อรับมือกับ “สินค้าอิมพอร์ตที่มีต้นทุนถูกกว่า” ซึ่งเข้ามาตีตลาดในภูมิภาคอาเซียน SCG จึงต้องปรับโครงสร้างต้นทุนของตนเองให้สามารถแข่งขันได้อย่างทัดเทียม ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นท่ามกลางสภาวะตลาดที่เหนื่อย โดยสามารถบริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ถึง 912 ล้านบาท ปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานได้อีก 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้มากถึง 3,119 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชั่นที่เป็นธุรกิจที่ใช้พลังงานสูง ก็สามารถประหยัดต้นทุนจากการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกได้ถึง 1,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจอื่น ๆ เช่น เอสซีจี เดคคอร์ และเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิ่ง ก็สามารถลดต้นทุนด้านพลังงานและกระบวนการผลิตได้รวมกันอีกกว่า 251 ล้านบาท การลดต้นทุนอย่างมหาศาลนี้ไม่เพียงแต่ช่วยพยุงผลกำไร แต่ยังเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ทำให้ SCG ยืนหยัดและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
2. การปรับโครงสร้างธุรกิจ: ตัดส่วนเกิน หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร
นอกจากการลดต้นทุนแล้ว SCG ยังทำการผ่าตัดโครงสร้างธุรกิจอย่างเด็ดขาดภายใต้หลักการ “หยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร” โดยได้ทยอยปิดหรือขายธุรกิจที่ไม่สร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย เช่น ธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกในโคโซโวซึ่งอยู่นอกสหภาพยุโรปทำให้การดำเนินงานมีความซับซ้อน และขายเงินลงทุนในบางธุรกิจของกลุ่มสมาร์ทลีฟวิ่งที่อินโดนีเซีย แม้การดำเนินการดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นราว 1,146 ล้านบาท (จากธุรกิจในยุโรปและอินโดนีเซีย) แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการตัดผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และที่สำคัญคือสร้างผลประโยชน์จากการดำเนินงานที่ประหยัดขึ้น (Operational Saving) สะสมแล้วถึง 900 ล้านบาทต่อไตรมาส
ในทางกลับกัน การปรับโครงสร้างการลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ที่อินโดนีเซีย ได้สร้างกำไรพิเศษทางบัญชี (Non-cash) เข้ามาถึง 16,712 ล้านบาท ซึ่งแม้จะไม่ใช่เงินสด แต่ผู้บริหารย้ำว่าเป็น “กำไรจริง ของจริง” ที่สะท้อนมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่งบการเงินโดยรวม
3. การพลิกเกมด้วย “Smart Value”: กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อครองใจตลาด
นี่คือกลยุทธ์เชิงรุกที่สำคัญที่สุด SCG กำลังเปลี่ยนปรัชญาการพัฒนาสินค้า จากเดิมที่อาจมุ่งเน้นสินค้าพรีเมียมมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็นหลัก มาสู่การสร้างสมดุลด้วยการเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ในชื่อ “Smart Value” ซึ่งผู้บริหารเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่าเหมือน “iPhone SE” คือเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีในมาตรฐานของ SCG ที่ลูกค้าเชื่อมั่น แต่ถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละกลุ่มตลาดโดยเฉพาะ ในราคาที่แข่งขันได้
แนวคิดนี้เกิดจากการรับฟังเสียงของทีมการตลาดที่มองว่าชื่อเดิมอย่าง “Quality Affordable” นั้นสร้างความสับสน จึงเป็นที่มาของชื่อ “Smart Value” ที่สื่อถึงความคุ้มค่าอย่างชาญฉลาด กลยุทธ์นี้ไม่ได้หมายถึงการทำสงครามราคา แต่คือ “การออกแบบสินค้าให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ” เพื่อต่อสู้กับสินค้านำเข้าและกลับมาครองใจผู้บริโภคในทุกระดับ ถือเป็นแผนระยะยาวที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
–SCG รับรางวัล “หุ้นยั่งยืน SET ESG Rating ระดับ AAA” ปี 2024 จากตลาดหลักทรัพย์ฯ
การเงินสุดแกร่ง: วินัยเข้มข้นต่อเนื่อง ส่งการบ้านด้วยผลงานระดับ “คะแนนเต็ม”
ด้านเสถียรภาพทางการเงิน SCG แสดงให้เห็นถึงวินัยและความมุ่งมั่นอย่างเข้มข้น ซึ่งเปรียบเหมือนการมาส่งการบ้านที่ได้คะแนนเต็ม โดยเฉพาะคำสัญญาในเรื่องการลดหนี้สินและบริหารเงินทุนหมุนเวียน บริษัทได้แสดงผลงานที่จับต้องได้อย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาสที่ 2 เพียงไตรมาสเดียว สามารถลดหนี้สินสุทธิลงได้ถึง 8,365 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้อีก 7,164 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อนับจากวันที่เริ่มโครงการ SCG สามารถลดหนี้สินสุทธิไปแล้วเกือบ 30,000 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้แล้วถึง 25,000 ล้านบาท
ในด้านการลงทุน (CAPEX) แม้บริษัทจะมีนโยบายควบคุมอย่างรัดกุมและเน้นเฉพาะโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว แต่ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนที่สร้างการเติบโต โดยในครึ่งปีแรกมีการใช้เงินลงทุนไปประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งงบส่วนใหญ่ในไตรมาสที่ 2 ถูกใช้ไปกับการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัทย่อยของธุรกิจแพคเกจจิ้งในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทที่มีผลกำไรดีและมีศักยภาพสูง สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดี โดยทั้งปี 2568 ยังคงประมาณการงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ด้วยสถานะทางการเงินและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งนี้เอง ทำให้คณะกรรมการบริษัทมีความมั่นใจและได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 2.50 บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น
เจาะลึกทิศทางและกลยุทธ์รายธุรกิจ
SCGC (ธุรกิจเคมิคอลส์) เดินเกมอย่างระมัดระวัง พร้อมกลับมาเดินเครื่อง LSP เวียดนาม ธุรกิจปิโตรเคมียังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังการผลิตใหม่ของจีนที่เข้ามาต่อเนื่อง แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเล็กน้อยจากการที่ผู้ผลิตบางรายลดกำลังการผลิตหรือหยุดโรงงานที่แข่งขันไม่ได้ (Mothballing) ไป ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง สำหรับครึ่งปีหลัง SCGC มองว่าตลาดยังคง “ทรงตัว” และต้องเดินเกมอย่างใกล้ชิด กลยุทธ์หลักคือการทำ Optimization บริหารจัดการวัตถุดิบและตลาดขายให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเดินหน้าผลักดันสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ที่มีสัดส่วนถึง 60% ของยอดขาย
ไฮไลท์สำคัญคือการตัดสินใจนำโรงงาน LSP ที่เวียดนามกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง แม้ตลาดยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มองการณ์ไกล เพื่อให้เครื่องจักรพร้อมใช้งานและเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับพนักงานชาวเวียดนาม ก่อนที่จะมีการเริ่มโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในอนาคต ซึ่งถือเป็นภารกิจที่ผิดพลาดไม่ได้ การกลับมาเดินเครื่องครั้งนี้จึงเป็นความเสี่ยงที่คำนวณมาอย่างดีแล้ว โดยมองว่าผลประโยชน์ด้านความพร้อมในระยะยาวมีมากกว่าความเสี่ยงทางการเงินในระยะสั้น
SCG ซีเมนต์-กรีนโซลูชัน ต่อยอดนวัตกรรมสีเขียวและรุกตลาดใหม่ แนวโน้มตลาดซีเมนต์ในประเทศยังได้รับอานิสงส์จากโครงการภาครัฐ ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับบนโดยเฉพาะในภูเก็ตและเชียงใหม่ยังเติบโตได้ดีมาก ขณะที่ตลาดอาเซียนยังเติบโตสูงแต่มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง กลยุทธ์ในครึ่งปีหลังจึงมุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตในเวียดนามเป็นศูนย์กลางการส่งออกปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำไปยังตลาดโลก พร้อมหาโอกาสในตลาดใหม่ ๆ เช่น การร่วมมือกับสตาร์ทอัพในญี่ปุ่นเพื่อสร้างบ้านให้กับรัฐบาล และการขยายตลาดในซาอุดีอาระเบีย
ด้านนวัตกรรม ธุรกิจซีเมนต์ได้ก้าวไปอีกขั้นนอกเหนือจากการใช้พลังงานทดแทน โดยนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในสายการบรรจุที่ “ทำงาน 24 ชั่วโมง ไม่มีเหนื่อย ไม่มีล้า” และที่สำคัญคือการเปลี่ยนมาใช้ รถบรรทุกไฟฟ้า (EV Truck) ในเหมืองหิน ซึ่งบางส่วนเริ่มทดลองใช้ แบบไร้คนขับ แล้ว นอกจากนี้ ยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ช่างและผู้ใช้งานโดยตรงอย่าง “ปูนจับเสือ” ปูนสำเร็จรูปเพื่องานฉาบมุมเสาให้คมกริบ และ “ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูง” ที่พัฒนาร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง เพื่อแก้ปัญหาเสียงดังและป้องกันการโจรกรรม
SCG สมาร์ทลีฟวิ่ง และ ดิสทริบิวชั่น ขยายตลาดสู่โอเชียเนีย-แอฟริกา พร้อมนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย ธุรกิจนี้มองว่าภาคการก่อสร้างในประเทศจะขับเคลื่อนด้วยภาครัฐและโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือการขยายตลาดไปไกลกว่าอาเซียน โดยได้เริ่มส่งออกสินค้าอย่างแผ่นสมาร์ทบอร์ดไปยังทวีป โอเชียเนีย (ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์) ซึ่งต้องมีการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับโครงสร้างไม้ของที่นั่น และยังส่งออก ปูนเม็ด (Clinker) ผ่านทาง SCG International ไปยังทวีป แอฟริกา
ด้านเทคโนโลยี มีการนำหุ่นยนต์มาช่วยในงานที่ต้องทำซ้ำและยกของหนักเพื่อแบ่งเบาภาระพนักงาน และใช้ AI ช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อลดระยะเวลาการพัฒนา สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจมีหลายรายการ เช่น กระเบื้องหลังคาเซรามิก “รุ่น ซีการ์ฟ (C-garve)” ที่มีดีไซน์ใหม่ในราคาที่เข้าถึงง่าย นวัตกรรม “ฟิล์มติดอาคารเรคู (RECOOL)” ซึ่งเป็นฟิล์มติดกระจกภายนอกที่สะท้อนความร้อนก่อนถึงตัวกระจก, อุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้สำหรับแผงโซลาร์เซลล์ “On-ground Haspot” และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น รุ่น Comfort” ที่มีคุณสมบัติคลายความร้อนได้เร็ว ทำให้สามารถเดินเท้าเปล่าได้แม้อยู่กลางแดด
วิสัยทัศน์ที่ไกลกว่า: Net Zero คือ “ใบอนุญาต” สู่การค้าโลกยุคใหม่
SCG ไม่ได้มองแค่ความท้าทายในปัจจุบัน แต่มองไปถึงอนาคตของการค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ธรรมศักดิ์ ชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่กำแพงภาษีและการกีดกันทางการค้ามีความไม่แน่นอนสูง การสร้าง ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) คือหัวใจสำคัญที่สุด และหนึ่งในนั้นคือการปรับตัวสู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับโลก โดยเฉพาะการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญอย่าง มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) รออยู่ข้างหน้า ผู้บริหารได้ย้ำเตือนอย่างหนักแน่นว่า หากผู้ประกอบการไทยไม่เตรียมความพร้อมเรื่องการลดคาร์บอน การเปิดเสรีทางการค้าอาจ “กลับกลายเป็นโทษ” มากกว่าประโยชน์
ด้วยเหตุนี้ SCG จึงยังคงเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างเต็มกำลัง แม้จะได้รับเสียงทักท้วงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากก็ตาม โดยบริษัทได้พิสูจน์แล้วว่าการดำเนินธุรกิจสีเขียวสามารถทำได้โดยไม่เพิ่มต้นทุน เช่น ความสำเร็จของปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ
เพื่อผลักดันวาระนี้ในระดับประเทศ SCG ได้ริเริ่มการประชุมระดมสมองระดับโลกในรูปแบบ Close Working Group ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยเชิญผู้นำความคิดจากหลากหลายวงการ ทั้ง President and CEO of Toyota Global, ผู้แทนจาก UN, หัวหน้านักวิทยาศาสตร์จาก MIT และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดทำเป็น “White Paper” หรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และจะนำผลลัพธ์ที่ได้ไปนำเสนอต่อสาธารณะในงาน SET Sustainability Forum ในวันที่ 2 ตุลาคม ต่อไป การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่า SCG ไม่ได้มองว่า Net Zero เป็นเพียงนโยบายภายใน แต่เป็น “ใบอนุญาต” ที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันบนเวทีโลกยุคใหม่ และพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่ออนาคตของประเทศ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCGP ไตรมาส 2 รายได้พุ่ง รับดีมานด์อาเซียน ดัน AI – ความยั่งยืนเพิ่มประสิทธิภาพ
วีซ่าเผย 4 เทรนด์สำคัญ พลิกโฉมโลกการชำระเงินแห่งอนาคต