ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่กำลังจะชี้ชะตาความสามารถในการแข่งขันของทุกธุรกิจ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “จะใช้ AI หรือไม่” แต่เป็น “จะเริ่มต้นอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
ผู้ขับเคลื่อนสำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมไทย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ผู้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ, แม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) ตัวแทนผู้ประกอบการที่นำ AI มาปรับใช้จริง และ ธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ผู้จัดการส่วนตลาดและขายเอนเนอร์ยี่ โซลูชั่นส์ บริษัท ปตท. จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยี ร่วมบอกเล่าการเดินทางของ AI ในภาคอุตสาหกรรมไทย จากภาพใหญ่ระดับประเทศ สู่การแก้ปัญหาจริงในโรงงานผลิตขนมหวานที่ทุกคนรู้จัก
ภาพรวม AI ไทย: โอกาสบนความท้าทายที่ต้องก้าวข้าม
ดร.ชัยวุฒิ ในฐานะผู้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ กล่าวถึงสถานการณ์ปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทยว่าภูมิทัศน์ AI ไทยนั้นเต็มไปด้วยศักยภาพแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งก้าวข้ามเพื่อปลดล็อกขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างเต็มศักยภาพ ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ (National AI Strategy) มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และอันดับความพร้อมของภาครัฐในการประยุกต์ใช้ AI (Government AI Readiness Index) ก็อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ คือประมาณอันดับที่ 30-35 จากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นที่พร้อมจะเดินหน้า แต่ ดร.ชัยย้ำว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะเมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด จะพบกับกับดักและคอขวดที่สำคัญอยู่ 2 ประการ
ประการแรกคือ กับดักการเป็นผู้ใช้ แต่ไม่ใช่ผู้สร้าง ซึ่งเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด ประเทศไทยมีการนำเข้าและปรับใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศในอัตราที่สูง แต่กลับมีการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นเองในสัดส่วนที่น้อยมาก สถานการณ์นี้ทำให้ต้องพึ่งพาองค์ความรู้และนวัตกรรมจากภายนอกอยู่เสมอ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ แต่ยังทำให้ขาดความสามารถในการสร้างสรรค์โซลูชันที่ตอบโจทย์บริบทของไทยได้อย่างแท้จริง
ประการที่สองคือปัญหา ขุมทรัพย์ข้อมูลที่ถูกแช่แข็ง แม้ว่ากระแส Digital Transformation โดยเฉพาะในภาครัฐ จะทำให้เกิดการจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลจำนวนมหาศาล แต่ข้อมูลเหล่านั้นเปรียบเสมือนสินทรัพย์ที่ไม่สามารถนำออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ หรือการแบ่งปันระหว่างหน่วยงานเพื่อนำไปสร้างโมเดล AI ใหม่ ๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เมื่อข้อมูลซึ่งเป็นดั่งเชื้อเพลิงสำคัญของ AI ไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างอิสระ การพัฒนานวัตกรรม AI ของประเทศจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
ภาพสะท้อนจากความเป็นจริง
ความท้าทายทั้งสองข้อนี้สะท้อนออกมาเป็นตัวเลขที่น่าขบคิด ผลสำรวจองค์กรกว่า 500 แห่งทั่วประเทศในปีที่ผ่านมา พบว่ามีองค์กรเพียง 15-17% เท่านั้นที่ระบุว่ามีการนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานแล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ และแสดงให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนโยบายระดับชาติกับการนำไปปฏิบัติจริงในภาคธุรกิจ
เมื่อเจาะลึกไปที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย ดัชนีชี้วัดความพร้อมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยเฉลี่ยยังอยู่ที่เพียงระดับ 2 จากคะแนนเต็ม 4 แม้กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะทำได้ดีที่ระดับ 3 แต่ภาคส่วนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงมีคะแนนต่ำกว่า 2 ซึ่งเป็นภาพที่สอดคล้องกับอัตราการประยุกต์ใช้ AI ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
SMC: กลไกภาครัฐเพื่อปลดล็อกศักยภาพ
เพื่อทลายกำแพงความท้าทายเหล่านี้ NECTEC และพันธมิตรจึงได้ริเริ่มโครงการจัดตั้ง ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) ขึ้นในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็น “พี่เลี้ยง” และ “สนามทดลอง” ให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม
ภายในศูนย์ SMC ได้รวบรวมสถานีทดลองเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับโรงงานยุคใหม่ไว้มากมาย เริ่มตั้งแต่ Industrial IoT (IIoT) เพื่อการวัดประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ หรือ Predictive Maintenance เพื่อลดการหยุดทำงานของเครื่องจักร ไปจนถึง Cybersecurity สำหรับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในโรงงาน การใช้ AI และ Computer Vision ตรวจสอบคุณภาพสินค้า การบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และที่สำคัญคือระบบการตรวจวัดและบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่สำคัญของโลก SMC จึงไม่ได้เป็นเพียงศูนย์วิจัย แต่เป็นกลไกเชิงรุกของภาครัฐที่พยายามจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการสร้างพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้เข้ามาสัมผัส ทดลอง และเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีจริง ก่อนตัดสินใจลงทุน
กรณีศึกษา After You: เมื่อ AI ไม่ใช่แค่ Buzzword แต่คือเครื่องมือลดต้นทุน
เรื่องราวของ After You ถือเป็นกรณีศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการถอดรหัสว่า AI สามารถเปลี่ยนจากแนวคิดเชิงทฤษฎีมาสู่เครื่องมือที่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างไร แม่ทัพได้ให้มุมมองของผู้ประกอบการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วย “เทคโนโลยี” แต่เริ่มต้นด้วย “ปัญหา” และเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน

ตลอด 17 ปีของการดำเนินธุรกิจ จากร้านเล็ก ๆ ที่มีพนักงานเพียง 5 คน สู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีโรงงานผลิตเป็นของตนเองในนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร แม่ทัพย้ำว่าเป้าหมายหลักในการผลิตไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ 4 เสาหลักอันได้แก่ คุณภาพ ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความคล่องตัว ในตอนแรกการลงทุนด้าน Digital Transformation หรือ AI นั้นมุ่งเน้นไปที่ส่วนหน้าร้านและสำนักงานใหญ่เป็นหลัก ส่วนของโรงงานยังคงดำเนินงานในรูปแบบดั้งเดิม แต่แล้ว Pain Point หรือความเจ็บปวดที่ผู้บริหารทุกคนต้องเผชิญก็เริ่มชัดเจนขึ้น นั่นคือ การควบคุมต้นทุน ซึ่งมีตัวแปรสำคัญ 3 ด้านคือ วัตถุดิบ แรงงาน และพลังงาน นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ After You เปิดรับโซลูชันใหม่ ๆ ไม่ใช่เพราะต้องการตามกระแส AI แต่เพราะกำลังมองหาทางออกที่จะมาแก้ปัญหาทางธุรกิจได้อย่างแท้จริง
กระบวนการทำงานร่วมกับ PTT: จาก “ข้อมูล” สู่ “การลงมือทำ”
ด้านธเนศได้อธิบายกระบวนการทำงานในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันเทคโนโลยีให้แก่ After You ที่ไม่ได้เริ่มจากการขายเทคโนโลยี แต่เริ่มจากการเป็น “คู่คิด” เพื่อแก้ปัญหา
กระบวนการนี้เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจของ After You ซึ่งก็คือการรักษาคุณภาพพร้อมกับควบคุมต้นทุน จากนั้นทีมงานจึงได้ลงลึกถึงหน้างานและพูดคุยกับทีมปฏิบัติงาน จนกระทั่งค้นพบปัญหาที่ซ่อนอยู่ นั่นคือ “อุณหภูมิที่เบี่ยงเบน” ในห้องเย็นเก็บวัตถุดิบ ซึ่งเป็นความเสี่ยงร้ายแรงต่อคุณภาพและก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองด้านพลังงาน
ขั้นตอนต่อมาคือการติดตั้งแพลตฟอร์ม AIoT ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง AI และเซ็นเซอร์ IoT เพื่อเฝ้าติดตามการทำงานของระบบทำความเย็นแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากรวบรวมข้อมูลได้มากพอ ทีมงานได้นำผลการวิเคราะห์มาแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการใช้พลังงานและช่วงเวลาที่เกิดปัญหาอย่างชัดเจน ในที่สุดจึงได้นำเสนอและปรับใช้โซลูชันที่เรียกว่า APA (Automation Process Analytic) ซึ่งก็คือการใช้ AI สร้างระบบควบคุมอัจฉริยะที่เข้ามาจัดการการทำงานของเครื่องทำความเย็นโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ไม่มีพนักงานทำงาน
ผลลัพธ์ที่ไกลกว่าตัวเลข: ลดต้นทุนและเปลี่ยนวัฒนธรรม
ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในส่วนของห้องเย็นได้ถึง 15% แต่ประโยชน์ที่ได้รับนั้นมีมากกว่าแค่ตัวเงิน นอกเหนือจากการประหยัดที่เป็นรูปธรรมแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรไปสู่การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (Data-Driven Culture) เพราะการนำข้อมูลจริงมาแสดงให้เห็น ทำให้ทีมงานหน้างานเข้าใจปัญหาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังเป็นการปลดล็อกประสิทธิภาพที่มองไม่เห็น ดังที่แม่ทัพให้มุมมองว่า “ผมไม่มีทางจ้างคน 20 คน มาตั้งทีมประชุม วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาทางออกมาให้ผมตัดสินใจแน่ ๆ” นี่คือคุณค่าที่แท้จริงของโซลูชัน AI ที่สามารถทำงานวิเคราะห์ที่ซับซ้อนและต้องใช้ทรัพยากรสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรอาจไม่สามารถลงทุนทำเองได้
จาก Industry 4.0 สู่ 5.0: การทำงานร่วมกันระหว่าง “คน” และ “เครื่องจักร”
หนึ่งในประเด็นที่ทรงพลังที่สุดจากเวทีเสวนา คือการก้าวข้ามแนวคิด Industry 4.0 ที่มุ่งเน้นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ไปสู่ Industry 5.0 ซึ่งเป็นการปรับกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ โดยนำ “คน” กลับมาเป็นหัวใจของการผลิตอีกครั้ง แต่ในบทบาทใหม่ที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอย่างกลมกลืน
ดร.ชัย ได้ให้คำจำกัดความของ Industry 5.0 ไว้อย่างชัดเจนว่าคือ นวัตกรรมการผลิตที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงปรัชญา จากการมองว่าคนคือส่วนที่ต้องถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร ไปสู่การมองว่าคนคือทรัพย์สินอันมีค่าที่สามารถสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นได้
หลักการสำคัญคือการเน้นการทำงานร่วมกันแทนที่การแทนที่ รักษาบทบาทของมนุษย์ไว้ในวงจรการตัดสินใจที่สำคัญ และมอบหมายงานที่ต้องการคุณค่าของงานฝีมือ ความคิดสร้างสรรค์ หรือการปรับแต่งเฉพาะตัวให้แก่มนุษย์ แนวคิดนี้ยังครอบคลุมไปถึงการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ ซึ่งต้องมีความโปร่งใส ปลอดภัย และสามารถอธิบายการทำงานของโมเดลได้ เพื่อสร้างความไว้วางใจในการทำงานร่วมกัน
Industry 5.0 ในภาคปฏิบัติ: ตรรกะแบบ “Artisanal” ของ After You
แนวคิด Industry 5.0 ไม่ใช่แค่ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ แต่ถูกสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในวิสัยทัศน์ของแม่ทัพแห่ง After You เขายืนยันว่า “เราเป็นแบรนด์และสินค้าแบบ Artisanal ต่อให้เครื่องจักรทำได้ เราก็ยังชอบให้คนทำ เราชอบความไม่สม่ำเสมอ (unevenness) บนตัวสินค้า”
มุมมองนี้แสดงให้เห็นว่าความไม่สมบูรณ์แบบจากฝีมือมนุษย์กลับกลายเป็นมูลค่าและเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์แบรนด์ ด้วยเหตุนี้ กลยุทธ์ของ After You จึงไม่ใช่การแทนที่คนงานทั้งหมด แต่เป็นการสร้างสมดุล โดยตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ที่สัดส่วนคน 50% และเครื่องจักร 50%
“ไม่ใช่เพราะผมอยากจะกำจัดพนักงาน แต่ผมแค่อยากจะไม่ต้องจ้างคนเพิ่ม จากนั้นก็มอบหมายงานที่ไม่ต้องใช้ทักษะให้กับเครื่องจักร” กลยุทธ์นี้ยังตอบโจทย์ความคล่องตัวของธุรกิจ เนื่องจาก 40% ของสินค้า After You เป็นสินค้าตามฤดูกาลซึ่งมีอายุสั้น การลงทุนในเครื่องจักรราคาแพงจึงไม่คุ้มค่า เพราะกว่าระบบจะถูกส่งมอบมาถึง เทรนด์นั้นอาจจะหมดไปแล้วก็ได้
ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวเข้าหา AI ในวันนี้ กำลังเสี่ยงที่จะแข่งขันไม่ได้ในวันหน้า แต่หัวใจสำคัญไม่ใช่การไล่ตามเทคโนโลยีอย่างไร้ทิศทาง หากคือการมอง AI เป็น ‘เครื่องมือ’ เพื่อแก้ปัญหาทางธุรกิจจริง และค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองให้เจอ เพราะทิศทางที่แท้จริงของอุตสาหกรรมไทยไม่ได้อยู่ที่โรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่อยู่ที่การผสานพลังระหว่างคนกับเครื่องจักรอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กรุงศรี-MUFG ร่วมขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางความยั่งยืนแห่งเอเชีย
บทเรียน CEO แห่ง Omoo และ Easy Digital: กลยุทธ์ปั้น SaaS ให้รอดและรุ่ง