Share on
×

Share

‘CEO Playbook’ ชัยวัฒน์ วาวิสารัช เผยกลยุทธ์ปั้น ‘บางจาก’ สู่ S-Curve พลังงาน

การจะสร้าง S-Curve ใหม่ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน หลายคนอาจนึกถึงการทุ่มงบประมาณมหาศาลหรือการไล่ตามเทคโนโลยีล่าสุด แต่สำหรับ บางจาก คอร์ปอเรชั่น สูตรลับที่ทำให้องค์กรพลังงานแห่งนี้เติบโตจากโรงกลั่นขนาดเล็กสู่บริษัทชั้นนำ กลับอยู่ที่คู่มือการดำเนินธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นโอกาส และการเปลี่ยนกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ให้กลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง นี่คือแก่นความคิดที่ ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เผยเบื้องหลังความสำเร็จอันน่าทึ่งขององค์กร

กลยุทธ์ #1: เปลี่ยน “ข้อจำกัด” ให้เป็น “โอกาส” สร้าง Blue Ocean ของตัวเอง

ในยุคเริ่มต้นตลาดค้าปลีกน้ำมันคือสมรภูมิเดือดที่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากชาติตะวันตกยึดครองทำเลทองบนถนนซูเปอร์ไฮเวย์และในเมืองใหญ่ไว้ทั้งหมด ในฐานะโรงกลั่นที่เล็กที่สุดในประเทศการจะกระโดดลงไปแข่งขันโดยตรงจึงเปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่ทางตัน แต่แทนที่จะยอมจำนนต่อข้อจำกัด บางจากกลับเบนสายตาไปยังกลุ่มลูกค้าที่ถูกทอดทิ้ง นั่นคือ “เกษตรกร”

ชัยวัฒน์ กล่าวว่า ปัญหาของเกษตรกรในยุคนั้นพวกเขาอยู่ในพื้นที่ห่างไกล บนถนนสายรอง (ถนนสี่หลัก) ทำให้เข้าถึงสถานีบริการน้ำมันได้ยาก แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือน้ำมันที่หาได้มักเป็นน้ำมันที่ไม่ได้มาตรฐาน เจือปนความชื้นหรือสิ่งแปลกปลอม ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับเครื่องจักรกลการเกษตรอันเป็นหัวใจของการทำมาหากิน”

จากความเข้าใจในปัญหาอย่างลึกซึ้งนี้เอง บางจากจึงมองเห็นโอกาสที่ไม่มีใครเห็น และให้กำเนิดสถานีบริการน้ำมันสหกรณ์ขึ้นเป็นแห่งแรกที่ จ.สุพรรณบุรี โมเดลนี้คือทางออกที่สมบูรณ์แบบและเป็นกลยุทธ์ที่ Win-Win อย่างแท้จริง

เกษตรกร (Win) ได้ใช้น้ำมันคุณภาพมาตรฐานที่เชื่อถือได้ ในราคาที่เป็นธรรม และเข้าถึงได้สะดวก ช่วยปกป้องเครื่องจักรและลดต้นทุนในระยะยาว ในขณะที่บางจาก (Win) สามารถเจาะตลาดค้าปลีกและสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งได้สำเร็จ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันนองเลือดกับยักษ์ใหญ่โดยตรง

จากจุดเริ่มต้นเพียง 1 สถานีในวันนั้น ปัจจุบันโมเดลนี้เติบโตสู่สถานีบริการสหกรณ์กว่า 600 แห่งทั่วประเทศ กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกของการเปลี่ยนข้อจำกัดให้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Constraint become your catalyst) และสร้างมหาสมุทรสีคราม (Blue Ocean) ของตนเองได้อย่างงดงาม

กลยุทธ์ #2: เปลี่ยน CSR ให้เป็น “ธุรกิจ” ที่สร้างกำไรและยั่งยืน

อีกหนึ่งมุมมองที่เฉียบคมและเป็นหัวใจของบางจาก คือการปฏิวัติแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม ชัยวัฒน์ ย้ำว่า “เราพยายามทำให้แน่ใจว่ามันไม่ใช่ CSR เพื่อ CSR (CSR for CSR’s sake) ซึ่งเป็นแนวคิดที่มักล้มเหลว เพราะกิจกรรมเพื่อสังคมแบบดั้งเดิมนั้นไม่ยั่งยืน ถ้าปีไหนกำไรดี ก็อาจให้เงินช่วยเหลือมาก แต่ถ้าปีไหนกำไรน้อย ก็อาจไม่ได้ให้อะไรเลย”

ทางออกของบางจากคือ การเปลี่ยนโจทย์จากการให้ไปสู่การสร้างธุรกิจที่สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองและสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือ ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) จุดเริ่มต้นของแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลที่ไม่ได้มองแค่การสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว แต่มองไปถึงการแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำให้เกษตรกร บางจากจึงเข้าไปสร้างอุปสงค์ (Demand) รับซื้อผลผลิต เช่น ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง เพื่อนำมาพัฒนาเป็นเชื้อเพลิงทางเลือก จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้มหาศาล และกลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางพลังงานของชาติ

อีกตัวอย่างคือการปั้น BCPG สู่บริษัทมหาชน แทนที่จะแค่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อภาพลักษณ์ บางจากได้ก่อตั้ง BCPG เพื่อลุยธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง และผลักดันจนกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่แข็งแกร่งและสร้างผลกำไรด้วยตัวเอง พิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจพลังงานสะอาดสามารถเติบโตและสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล

แนวทางนี้ทำให้ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ภาระหรือต้นทุน แต่เป็น “เครื่องยนต์” ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value) ให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตั้งแต่เกษตรกร สังคม ไปจนถึงผู้ถือหุ้น

ผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ: ต่อยอด “DNA สีเขียว” สู่ผู้นำพลังงานสะอาด

เมื่อกลยุทธ์ทั้งสองข้อแข็งแกร่ง “DNA สีเขียว” ของบางจากจึงไม่ได้เป็นเพียงคำในกระดาษ แต่ปรากฏเป็นนวัตกรรมที่จับต้องได้และเป็น ายแรกของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนเส้นทางการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจน

จุดเริ่มต้นย้อนไปถึงการแก้ปัญหามลพิษในเมืองหลวง บางจากคือผู้จำหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วรายแรกของไทยซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนเมือง จากนั้นเมื่อประเทศเผชิญปัญหาราคาพืชผลเกษตร บางจากก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บุกเบิกเชื้อเพลิงชีวภาพสนับสนุนการใช้เอทานอลและไบโอดีเซล จนทำให้แก๊สโซฮอล์ $E20$ เป็นที่ยอมรับและกลายเป็นน้ำมันพื้นฐานของประเทศในที่สุด

บางจากไม่หยุดเพียงแค่ธุรกิจเชื้อเพลิงแต่ได้ขยายสู่ระบบนิเวศพลังงานสะอาดในภาพใหญ่ด้วยการก่อตั้งบริษัทเรือธงอย่าง BCPG เพื่อลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าสีเขียวเต็มรูปแบบ ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม ความร้อนใต้พิภพ และพลังงานน้ำควบคู่ไปกับการมองการณ์ไกลที่เฉียบคมด้วยการลงทุนในเหมืองลิเทียมมานานกว่า 10 ปี เพื่อเตรียมพร้อมรับเมกะเทรนด์ของแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า

ล่าสุดและในอนาคตอันใกล้บางจากกำลังผลักดันขอบเขตของพลังงานสะอาดให้ครอบคลุมทุกมิติการขนส่ง ด้วยการเปิดตัวน้ำมันเตา B24 ที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับภาคการเดินเรือ และกำลังพัฒนา SAF (Sustainable Aviation Fuel) หรือน้ำมันเครื่องบินชีวภาพ เพื่อเติมเต็มเป้าหมายสูงสุดในการเป็นผู้นำพลังงานสะอาดสำหรับทุกการเดินทางไม่ว่าจะอยู่บนบก ในน้ำ หรือบนฟ้า

วิสัยทัศน์แห่งอนาคต: ทำไมโมเลกุลยังคงเป็นราชาแห่งพลังงาน

ในขณะที่โลกกำลังมุ่งสู่ยุคของไฟฟ้า (Electrification) และรถยนต์ EV บางจากกลับมีมุมมองที่แตกต่างและท้าทาย โดยมองลึกลงไปถึงหลักการพื้นฐานทางฟิสิกส์และเคมีชัยวัฒน์อธิบายว่าความท้าทายที่แท้จริงของพลังงานไม่ใช่แค่การผลิตแต่คือการขนส่งและการกักเก็บ ซึ่งในสมรภูมินี้รูปแบบของพลังงาน (ของแข็ง, ของเหลว, ก๊าซ, หรืออิเล็กตรอน) มีความสำคัญอย่างยิ่ง

เขาได้เปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ของเหลว (Molecule) คือรูปแบบที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน มีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในน้ำหนักที่เท่ากันถึง 10 เท่า และสามารถขนส่งได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมหาศาลผ่านระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว เช่น ท่อส่ง เรือบรรทุก หรือรถบรรทุก

ส่วนอิเล็กตรอน (Electricity) แม้จะดูสะอาด แต่มีอุปสรรคใหญ่คือการขนส่งแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (เช่น ทะเลทรายที่มีแดดจัด หรือขั้วโลกที่มีลมแรง) อยู่ไกลจากแหล่งใช้งาน (เมืองใหญ่) การจะเชื่อมต่อทั้งหมดนี้ต้องใช้เงินลงทุนในสายส่งทั่วโลกมากกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังมีปัญหาความไม่เสถียร (แดดหมด ลมหยุด) ที่ต้องแก้ด้วยระบบกักเก็บพลังงานราคาแพง

ในขณะที่ของแข็ง (Solid) ตัวอย่างคือแบตเตอรี่ซึ่งมีน้ำหนักมากและเทอะทะ ทำให้การขนส่งพลังงานในปริมาณมาก ๆ ทำได้ยากและไม่คุ้มค่า “คุณไม่สามารถส่งแบตเตอรี่ผ่านท่อส่งได้”

ก๊าซ (Gas) แม้จะเป็นพลังงานเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ แต่สำหรับการขนส่งระยะไกลก็ยังต้องถูกบีบอัดให้กลายเป็น ของเหลว (LNG) อยู่ดี ซึ่งเป็นการยืนยันว่ารูปแบบของเหลวคือคำตอบที่ดีที่สุดในการเคลื่อนย้ายพลังงาน

ด้วยเหตุผลนี้ บางจากจึงเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ถูกต้องและปฏิบัติได้จริงที่สุดในอนาคตอันใกล้ ไม่ใช่การละทิ้งเชื้อเพลิงเหลว แต่คือการทำให้มันสะอาดขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ “โมเลกุลสะอาด” (Clean Molecule) และเป็นเหตุผลว่าทำไมบริษัทจึงทุ่มเทพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงสังเคราะห์อย่าง SAF อย่างเต็มกำลัง

รากฐานที่แข็งแกร่ง: ปรัชญา “Double Bottom Line”

กลยุทธ์และวิสัยทัศน์ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ใช่แนวคิดที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ทั้งหมดหยั่งรากลึกจากปรัชญาการก่อตั้งองค์กรเมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งเป็นเข็มทิศที่นำทางบางจากมาโดยตลอด นั่นคือปรัชญา “Double Bottom Line” หรือ Impact Investing ที่จะพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งจากมุมมองทางการเงินและสังคม แนวคิดนี้คือความมุ่งมั่นที่จะไม่วัดความสำเร็จจากผลกำไรที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญเท่าเทียมกันกับ “บรรทัดสุดท้าย” อีกเส้นหนึ่ง นั่นคือคุณค่าที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ชัยวัฒน์ให้เครดิตผู้ก่อตั้งที่วางรากฐานนี้ไว้ตั้งแต่ในยุคที่ยังไม่มีใครพูดถึงคำว่า ESG ด้วยซ้ำ ปรัชญานี้ยังได้รับอิทธิพลจาก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ที่เน้นการสร้างความสมดุลและความยั่งยืน ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของบางจาก

ปรัชญานี้คือที่มาของทุกการตัดสินใจสำคัญ และเป็นที่มาของทุกกลยุทธ์ของบางจากไม่ว่าจะเป็นการสร้างสถานีบริการสหกรณ์ คือการนำปรัชญาด้านสังคมมาปฏิบัติจริงเพื่อสร้างประโยชน์ให้เกษตรกรควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจ

การเปลี่ยน CSR ให้เป็นธุรกิจ คือวิวัฒนาการของแนวคิด Double Bottom Line ในยุคใหม่ ที่ทำให้การดูแลโลกและสังคมสามารถสร้างผลตอบแทนและยั่งยืนได้ด้วยตัวเอง และ Green DNA คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่สุดของการยึดมั่นในปรัชญานี้มาตลอด 4 ทศวรรษ

“ด้วยรากฐานที่มั่นคงนี้ที่ทำให้บางจากพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มขนาดของบริษัทเป็นสองเท่าภายใน 3-4 ปี ซึ่งเป็นการเติบโตที่ตั้งอยู่บนความสมดุลและการสร้างคุณค่าให้แก่โลกใบนี้เสมอ” ชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

พลิกโฉมธุรกิจด้วย Agentic AI : เจาะลึกเทคโนโลยี AI ทำงานเองจาก NVIDIA

ปลดล็อกอนาคตไทยจาก ‘งานวิจัยขึ้นหิ้ง’ สู่เศรษฐกิจแสนล้านด้วย AI และ ‘ลายแทงจีโนม’

สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียน จากท้องทะเลสู่ชุมชนและนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน