ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คำว่า Climate Tech หรือเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ ได้กลายเป็นมากกว่าแค่กระแส แต่คือ “S-Curve แห่งศตวรรษที่ 21” ซึ่งเป็นโค้งการเติบโตครั้งใหม่ ที่จะกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจ สังคม และโลกใบนี้
ในงาน Techsauce Global Summit 2025, ดร.เจน จาง (Dr.Jane Zhang) หัวหน้าโครงการ Breakthrough Energy Fellows ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวในปาฐกถาหัวข้อ “ClimateTech as the S-Curve of the 21st Century” โดยชี้ให้เห็นถึงจุดตัดที่น่าทึ่งระหว่างนวัตกรรม การลงทุน และผลกระทบระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นในแวดวงนี้
ภารกิจพลิกโลก: เดิมพันด้วยเทคโนโลยีกับเป้าหมาย 51,000 ล้านตัน
ดร.เจน ได้เริ่มต้นด้วยการแนะนำ Breakthrough Energy องค์กรที่ก่อตั้งโดย บิลล์ เกตส์ ในปี 2015 จากความตระหนักว่า โลกต้องการกลไกและรูปแบบการลงทุนใหม่เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ภารกิจขององค์กรนั้นยิ่งใหญ่และชัดเจนอย่างยิ่ง นั่นคือการหาหนทางเพื่อลดและกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกให้ได้ถึง 51,000 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องทำให้เป็นศูนย์เพื่อนำพามนุษยชาติไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและรุ่งเรือง
หัวใจสำคัญของ Breakthrough Energy คือการเป็นแหล่งทุนที่อดทนรอคอยได้ (Patient Capital) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการผลักดันเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ที่ต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนา แต่มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมได้ทั้งระบบ
เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ องค์กรได้ดำเนินงานภายใต้สองหลักการเหล็ก หลักการแรกคือการมุ่งเน้นโซลูชันที่สามารถ สร้างผลกระทบเชิงลึก (Deep Impact) โดยกำหนดเกณฑ์ว่าทุกนวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจะต้องมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างน้อย 500 ล้านตันต่อปี เมื่อถูกนำไปใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นการบังคับให้มองหาทางออกที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนแปลงโลกได้จริง
ขณะเดียวกันหลักการที่สองคือการพุ่งเป้าไปที่ ห้ากลุ่มความท้าทายหลัก (Five Grand Challenges) ของโลก ได้แก่ การผลิต (Manufacturing) ไฟฟ้า (Electricity) เกษตรกรรม (Agriculture) การขนส่ง (Transportation) และอาคาร (Buildings) ซึ่งไม่เพียงเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุด แต่ยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอนได้ยากที่สุดและต้องการการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่เพื่อปลดล็อกอย่างแท้จริง
จากไอเดียสู่ตลาด: ระบบนิเวศครบวงจรที่ปั้นนวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง
เพื่อขับเคลื่อนภารกิจ “จากห้องทดลองสู่ตลาดโลก” ให้เกิดขึ้นจริง Breakthrough Energy ได้สร้างสรรค์แพลตฟอร์มที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็นสามขั้นตอนหลัก
ขั้นตอนแรกคือ Discovery (การค้นพบ) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมผ่านโครงการ Breakthrough Energy Fellows Program โครงการนี้เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างโลกวิชาการและโลกธุรกิจ โดยมุ่งสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์และนักนวัตกรรมในระยะเริ่มต้น (Early-stage) ที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำแต่ยังต้องการการบ่มเพาะ
ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับทั้งเงินทุนเพื่อลดความเสี่ยงทางเทคโนโลยี (De-risk) หลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อสตาร์ทอัพสาย Deep Tech โดยเฉพาะ รวมถึงการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และการเข้าถึงเครือข่ายระดับโลกของ Breakthrough Energy เพื่อช่วยพัฒนาโมเดลธุรกิจและตรวจสอบความต้องการของตลาด
เมื่อนวัตกรรมเริ่มแข็งแกร่งและพร้อมที่จะเติบโตก็จะเข้าสู่ขั้นตอนที่สองคือ Development (การพัฒนา) ผ่านกองทุน Venture Capital ที่ชื่อว่า Breakthrough Energy Ventures ซึ่งปัจจุบันมีถึงสามกองทุน ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในบริษัทสตาร์ตอัพกว่า 130 แห่งทั่วโลก กองทุนนี้จะทำหน้าที่เป็นแหล่งทุนสำคัญที่ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถขยายขนาดการดำเนินงาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดในวงกว้าง
จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือ Deployment (การนำไปใช้จริง) ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุด ผ่านกองทุน Breakthrough Energy Catalyst ที่ทำหน้าที่สนับสนุนทางการเงินแก่โครงการขนาดใหญ่ (Project Financing) โดยใช้รูปแบบการเงินแบบผสมผสาน (Blended Financing) เพื่อสาธิตให้ตลาดและนักลงทุนทั่วไปเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ไม่เพียงแต่ใช้งานได้จริง แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนทางการเงินที่คุ้มค่าและสามารถนำไปปรับใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเร่งให้เกิดการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ในระดับอุตสาหกรรม
พลังแห่งนวัตกรรม: ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรม
ดร.เจน ได้ฉายภาพให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรมที่กำลังก่อตัวขึ้นจริงผ่านตัวอย่างสตาร์ตอัพจากทั่วโลกในภาคการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนมหาศาล Mote Inc. สตาร์ตอัพจากสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งโดยบัณฑิตสองคนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กำลังพัฒนาเทคโนโลยีในการเปลี่ยนสภาพของเสียจากไม้ให้เป็นไฮโดรเจนและกราไฟต์สำหรับแบตเตอรี่
ขณะที่สตาร์ตอัพ KINNITY LTD กำลังคิดค้นเมมเบรนชนิดใหม่เพื่อลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล และยังสามารถสกัดโลหะมีค่าคืนกลับมาได้อีกด้วย ทางด้านไฟฟ้าซึ่งเป็นหัวใจของโลกสมัยใหม่ Arinna Solar กำลังใช้เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ล่าสุดเพื่อพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ที่บางเฉียบและหนาแน่นเป็นพิเศษสำหรับใช้งานในดาวเทียมและอวกาศ

ในภาคเกษตรกรรม ก็มีความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน เช่น Protekta Inc. กำลังผลิตนาโนเฟอร์ติไลเซอร์เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรพร้อมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และบริษัท Ruminant BioTech ที่กำลังแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซมีเทนจากวัวด้วยโปรไบโอติกโดยตรง
สำหรับกลุ่มอาคาร บริษัท Barocal ในสหราชอาณาจักรกำลังพลิกโฉมระบบทำความเย็นและทำความร้อนด้วยเทคโนโลยีโซลิดสเตตประสิทธิภาพสูงที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่ Cemvision จากสวีเดนกำลังเปลี่ยนของเสียจากอุตสาหกรรมเหล็กให้กลายเป็นซีเมนต์คาร์บอนต่ำ
สุดท้ายคือ ภาคการขนส่ง ซึ่งมีตัวอย่างที่น่าสนใจจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง โดยมีสตาร์ตอัพที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีตัวเร่งปฏิกิริยาเพื่อเปลี่ยนชีวมวลเป็นเมทานอลสีเขียวสำหรับภาคการเดินเรือ และอีกแห่งในสิงคโปร์ที่กำลังบุกเบิกเทคโนโลยีการสกัดแร่ธาตุสำคัญอย่างลิเธียมและโคบอลต์กลับมาจากแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียน
จุดยุทธศาสตร์ใหม่: ทำไม “ตอนนี้” คือช่วงเวลาสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การตัดสินใจของ Breakthrough Energy ในการปักหมุดที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการจัดตั้งฮับร่วมกับพันธมิตรระดับภูมิภาคอย่าง Temasek และ Enterprise Singapore นั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์ที่มาบรรจบกันในจังหวะเวลาที่พอดี
ประการแรกคือ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรง ภูมิภาคนี้กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการเติบโตของความต้องการพลังงานถึง 25% ของทั้งโลก ในทศวรรษหน้า ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายมหาศาลในการตอบสนองความต้องการนี้ด้วยพลังงานสะอาดแทนที่จะเดินซ้ำรอยเส้นทางเดิมที่พึ่งพาฟอสซิล
ประการที่สองคือ ความเร่งด่วนของปัญหาที่สัมผัสได้จริง จากผลสำรวจล่าสุดของ ISEAS ชี้ว่าสำหรับผู้นำและประชาชนในภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติสุดขั้วไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่โดยตรง ทำให้เกิดแรงผลักดันจากภายในเพื่อค้นหาทางออกอย่างจริงจัง
ปัจจัยนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับเหตุผลประการที่สาม นั่นคือ ความมั่นคงทางพลังงาน การพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้ภูมิภาคเปราะบางต่อความผันผวนของราคาและภูมิรัฐศาสตร์โลก การพัฒนานวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนในท้องถิ่นจึงไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
และประการสุดท้ายคือ กระแสทุนโลกที่กำลังมองหาจุดหมายใหม่ ด้วยเม็ดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ไหลเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั่วโลกในปี 2024 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตสูงและมีความต้องการที่ชัดเจน จึงเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการสร้างผลกระทบและผลตอบแทน ความเชื่อมั่นนี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเกิดผลจริง เพราะฮับในภูมิภาคได้เริ่มบ่มเพาะสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพแล้ว และผู้ก่อตั้งยังมีโอกาสได้นำเสนอวิสัยทัศน์และเทคโนโลยีกับบิลล์ เกตส์โดยตรงที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าโลกกำลังจับตามองนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นจากที่นี่
อนาคตที่ต้องสร้างร่วมกัน: เสียงเรียกร้องสู่นักนวัตกรรมแห่งภูมิภาค
ดร เจน ย้ำว่าการบรรจบกันของปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ Climate Tech ไม่ใช่เป็นเพียงทางรอด แต่เป็น “โอกาส” ทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภูมิภาคในศตวรรษนี้ อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เราไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้โดยลำพัง”
การจะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เปรียบเสมือนการสร้าง “หมู่บ้าน” (village) ที่แข็งแกร่งซึ่งแต่ละส่วนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันนวัตกรรมให้ไปข้างหน้า หมู่บ้านแห่งนี้ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ที่เป็นต้นน้ำของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ผู้สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem Builders) เช่น Accelerator, Incubator และหน่วยงานภาครัฐ ที่จะช่วยกันพัฒนาบุคลากรและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ภาคธุรกิจและองค์กรขนาดใหญ่ ที่จะเข้ามาเชื่อมโจทย์ความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริงเข้ากับโซลูชัน และเชื่อมต่อผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดในฐานะลูกค้ากลุ่มแรก และสุดท้ายคือ กลุ่มนักลงทุน ทั้ง VCs, CVCs และสถาบันการเงิน ที่จะเข้ามาปลดล็อกแหล่งเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในแต่ละระยะ
เป้าหมายของความร่วมมือทั้งหมดนี้คือการสร้างท่อส่งที่แข็งแกร่งสำหรับบริษัทแห่งอนาคตที่จะมาปลดล็อกอุตสาหกรรมใหม่ สร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และนำความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนมาสู่ทุกคน
สำหรับนักนวัตกรรมและผู้ประกอบการที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์นี้ ดร.เจนได้ประกาศข่าวสำคัญว่าโครงการ Breakthrough Energy Fellows จะเปิดรับสมัครรอบต่อไปใน เดือนกันยายน 2025 ที่จะถึงนี้ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ไม่อาจพลาดได้สำหรับผู้ที่มีเทคโนโลยีและความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่าเดิม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘GoTrade’ เมื่อยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์ ลงมาแก้โจทย์ SME ไทยในสนามรบโลก
ดร.อารักษ์ SCB X เผยยุทธศาสตร์ ‘Sovereign AI’ ทางรอดประเทศไทยในยุคดิจิทัล