บนเวทีเสวนาของงาน Techsauce Global Summit บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังของผู้นำจาก 4 องค์กรระดับโลก ที่มาร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับความยั่งยืน (Sustainability) และ ESG (Environmental, Social, and Governance) ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาไม่ใช่แค่การทำตามกฎระเบียบ (Compliance) หรือการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แบบครั้งคราว แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่การฝังความยั่งยืนให้กลายเป็น DNA และแกนหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะกำหนดอนาคตและสร้างมูลค่าในระยะยาว
เวทีนี้ได้รวบรวมยักษ์ใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด มงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา Joseph Hong กรรมการผู้อำนวยการ Bosch Thailand and Laos และ Dr.Anthony M. Watanabe หัวหน้าปฏิบัติการด้านความยั่งยืน Indorama Ventures Indorama Ventures ซึ่งแต่ละองค์กรต่างมีเส้นทางและบทพิสูจน์ที่น่าสนใจว่าความยั่งยืนนั้นสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างไร
จุดเริ่มต้นที่แตกต่างสู่เป้าหมายเดียวกัน
ความยั่งยืนกลายเป็นกลยุทธ์หลักขององค์กรได้อย่างไรและเมื่อไหร่? คำตอบจากแต่ละองค์กรได้สะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นที่หลากหลายแต่มีเป้าหมายเดียวกัน
เริ่มต้นจาก L’Oréal ในฐานะบริษัทความงามที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง อรอนงค์ กล่าวว่า L’Oréal ทำงานด้านความยั่งยืนมานานกว่า 25 ปี และได้ยกระดับความเข้มข้นขึ้นด้วยโปรแกรม “L’Oréal for the Future” ซึ่งมีเป้าหมายที่ท้าทายที่สุดคือการลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลง 50% โดยไม่ลดทอนความหรูหราของบรรจุภัณฑ์ ซึ่งนำไปสู่การร่วมมือกับ Indorama Ventures พัฒนาขวดพลาสติกรีไซเคิลที่ดูเหมือนแก้ว และการจับมือกับบริษัทนวัตกรรมอย่าง Carbios เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลด้วยเอนไซม์
ในขณะที่ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลกอันดับ 1 ถึงสองครั้ง มงคลได้นำเสนอสูตรสำเร็จที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังคือ “Electric + Digital = Sustainability” โดยมองว่าบริษัทเป็นผู้เปิดทาง (Enabler) ที่ช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอน โดยเริ่มจากการทำให้โรงงานอัจฉริยะของตนเองที่ปลวกแดงเป็นต้นแบบ จนสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 40%
ทางด้าน Robert Bosch นั้น Joseph Hong เล่าว่าปรัชญาความยั่งยืนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ผู้ก่อตั้งบริษัท และได้พิสูจน์ให้เห็นจริงด้วยการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ใน Scope 1 และ 2 ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2020 นวัตกรรมของ Bosch ยังสะท้อนผ่านการพัฒนาโซลูชันสำหรับรีไซเคิลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ให้ปลอดภัยและรวดเร็วขึ้น จาก 24 ชั่วโมงเหลือเพียง 15 นาที เพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนสำหรับแร่ธาตุหายากในอนาคต
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวของ Indorama Ventures (IVL) ที่ Dr.Anthony เล่าว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่นั่นกลับกลายเป็นตัวจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จนวันนี้ IVL กลายเป็นผู้รีไซเคิลพลาสติก PET รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยวิสัยทัศน์ของครอบครัวผู้ก่อตั้งที่มองไกลไปถึงรุ่นหลาน ทำให้ความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหนทางรอดของธุรกิจ และตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการรีไซเคิลขวดพลาสติกให้ได้ 100,000 ล้านขวดต่อปี ภายในปี 2030
นวัตกรรมและเทคโนโลยี: หัวใจขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
ในยุคที่ AI และ Digitalization กลายเป็นเมกะเทรนด์ ผู้นำทั้ง 4 ท่านต่างเห็นพ้องว่าเทคโนโลยีคือกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กลายเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ไม่ใช่เพียงแนวคิดนามธรรมอีกต่อไป โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฏิบัติการไปจนถึงโมเดลธุรกิจใหม่
หัวใจหลักของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือแพลตฟอร์ม EcoStruxure ที่ผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการใช้ไฟฟ้า มงคลอธิบายว่า AI และ Digital Twin (แบบจำลองเสมือน) มีบทบาทอย่างยิ่งในการช่วยให้ลูกค้าสามารถจำลองสถานการณ์และคาดการณ์ผลลัพธ์ของการตัดสินใจด้านพลังงานได้ก่อนลงมือทำจริง ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ AI ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ที่ซับซ้อน เช่น การนำพลังงานหมุนเวียนเข้ามาสู่ระบบกริดไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ
ด้าน Bosch ได้นำนวัตกรรมมาใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Design for Environment (DFE) เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์จะมีประสิทธิภาพสูงและสามารถรีไซเคิลได้ตั้งแต่ต้นทาง พร้อมทั้งนำเสนอแนวทาง “3Rs of Efficiency” ที่ประกอบด้วย Reduce ลดการใช้วัสดุ Remanufacture โปรแกรมซ่อมสร้างชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเพื่อยืดอายุการใช้งาน ซึ่งลดต้นทุนและคาร์บอนฟุตพรินต์ได้กว่า 50% และ Recycle ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการพัฒนาโซลูชันสำหรับ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญ โดยเทคโนโลยีของ Bosch สามารถลดเวลาการคายประจุแบตเตอรี่แรงดันสูงจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 15 นาที ทำให้กระบวนการรีไซเคิลปลอดภัยและรวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างมหาศาล
ในส่วนของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ทั้ง L’Oréal และ Indorama Ventures ได้กล่าวถึงการร่วมมือกับ Carbios บริษัทนวัตกรรมที่ใช้ เอนไซม์ในการย่อยสลายพลาสติก (Depolymerization) ให้กลับไปสู่สถานะตั้งต้น (Monomer) ทำให้สามารถนำไปผลิตเป็นพลาสติกใหม่ได้อย่างไม่รู้จบ Dr.Anthony ได้ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนว่า เส้นใยโพลีเอสเตอร์ที่ได้จากกระบวนการนี้จะถูกนำไปขายต่อให้ Michelin เพื่อใช้เสริมความแข็งแกร่งในยางรถยนต์ ถือเป็นการสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่ที่สมบูรณ์
นอกจากการพัฒนานวัตกรรมภายในแล้ว การส่งเสริมระบบนิเวศภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ อรอนงค์ กล่าวถึง โครงการ Accelerator Program ที่เปิดรับสตาร์ตอัพในภูมิภาค SAMENA (เอเชียใต้และแปซิฟิก, ตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ) เพื่อชิงงบประมาณสนับสนุนกว่า 18 ล้านยูโร ในการพัฒนาไอเดียด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม Dr.Anthony ได้ทิ้งท้ายประเด็นไว้อย่างน่าสนใจว่า เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดก็อาจไร้ความหมายหากขาดนโยบายที่เอื้ออำนวย โดยยกตัวอย่างกฎหมายของไทยที่เพิ่งอนุญาตให้มีการรีไซเคิลแบบขวดต่อขวด (Bottle-to-bottle) ได้ไม่นานมานี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายนี้เองที่เป็นตัวปลดล็อกให้เทคโนโลยีสามารถนำมาใช้สร้างผลกระทบในวงกว้างได้อย่างแท้จริง
ผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร: รากฐานที่มองไม่เห็นแต่สำคัญที่สุด
เทคโนโลยีและกลยุทธ์จะไร้ความหมายหากปราศจากผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ทุกท่านบนเวทีต่างย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเริ่มต้นจากระดับสูงสุด (Top-down) และหยั่งรากลึกลงไปในทุกระดับขององค์กร (Bottom-up)
มงคลชี้ว่าผู้นำไม่ได้มองความยั่งยืนเป็นเพียงความรับผิดชอบ แต่ฝังเข้าไปในแก่นของกลยุทธ์บริษัท ทำให้วิสัยทัศน์นี้ถูกถ่ายทอดลงไปในทุกพื้นที่การทำงาน จนพนักงานทั่วไปสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนทำมีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนให้ลูกค้าได้อย่างไร ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความยั่งยืนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจของทุกคนในองค์กรแล้ว
ด้าน Bosch และ L’Oréal เน้นย้ำถึงกลไกที่ทำให้วิสัยทัศน์ของผู้บริหารเกิดขึ้นได้จริง ทั้งการสนับสนุนจากบอร์ดบริหารต้องมาพร้อมกับการจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอและการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
อรอนงค์กล่าวว่า การจะผลักดันให้เกิดความเป็นเลิศ (Quest for Excellence) ทั้งในด้านผลประกอบการและความยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยแรงจูงใจที่เหมาะสม โดยนำเป้าหมายด้านความยั่งยืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ KPI และการประเมินผลโบนัสเพื่อให้พนักงานรู้สึกว่านี่คือความสำเร็จร่วมกัน
Dr.Anthony เล่าถึงการประชุมของคณะกรรมการด้านความยั่งยืนและความเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วย CEO และผู้บริหารระดับสูงสุดทั้งหมด เพื่อติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ผลลัพธ์คือ IVL ได้คะแนนเต็ม 5/5 ในหมวดธรรมาภิบาล (Governance) จากการจัดอันดับของ FTSE for Good ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันที่เป็นรูปธรรมมากกว่าคำพูด อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าการขับเคลื่อนไม่ได้มาจากเบื้องบนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการโค้ชชิ่ง (Coaching) เพื่อให้ทีมงานมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างงานที่ทำกับคุณค่าส่วนตัวของพวกเขา และสรุปไว้อย่างทรงพลังว่า “ทุกคนคือผู้นำด้านความยั่งยืน” ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม
ภาพที่ชัดเจนที่สุดอาจมาจากวิสัยทัศน์ข้ามรุ่นของ IVL ที่ Dr.Anthony สันนิษฐานว่าผู้ก่อตั้งมองเห็นภาพของหลาน ๆ ที่จะเข้ามาบริหารธุรกิจในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งการจะส่งต่อบริษัทที่ยังคงอยู่รอดและเติบโตได้นั้น จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่ยั่งยืน นี่คือบทพิสูจน์ว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่คือการสร้างมรดกที่มั่นคงสำหรับอนาคต
โลกธุรกิจได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่ความยั่งยืนไม่ใช่ภาระหรือต้นทุนอีกต่อไป แต่เป็นบ่อเกิดของนวัตกรรม โอกาสทางธุรกิจ และใบเบิกทางสู่การเป็นองค์กรที่พร้อมสำหรับอนาคต (Future-Fit) บริษัทที่สามารถผสานความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์หลักได้อย่างแท้จริงเท่านั้น ที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
อาเซียนพร้อมแค่ไหน? กับการเป็น ‘ชาติเทคโนโลยี’ ระดับโลกที่มีความท้าทายรออยู่
‘After You x ปตท.’ ถอดโมเดลใช้ AI ลดต้นทุน 15% ขับเคลื่อนโรงงานสู่ Industry 5.0