ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นวิกฤติที่คืบคลานเข้ามาถึงหน้าประตูบ้าน “เมือง” ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญได้กลายเป็นพื้นที่เปราะบางที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะปรากฏการณ์ “เมืองเดือด” (Burning City) ที่อุณหภูมิพุ่งสูงจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและคุณภาพอากาศอย่างรุนแรง เวทีเสวนาในหัวข้อ “Life in a Burning City: Innovating to Survive in a Burning City” บนเวที Techsaunce Global Summit 2025 ได้รวบรวมมุมมองจากผู้นำเมือง นักเทคโนโลยี และภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพื่อค้นหาทางรอดและทางออกให้กับมหานครในยุคแห่งความท้าทายนี้
เทคโนโลยีเพื่อเมืองเย็น: จากโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะสู่ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ
Piotr Hołubowicz ซีอีโอ ของ Seedia บริษัทเทคโนโลยีจากยุโรป ได้นำเสนอเทคโนโลยีที่จับต้องได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเมืองที่เกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน ทั้งปัญหาความร้อน การจราจร และมลพิษทางอากาศ โดยเริ่มจากหลักการที่เรียบง่ายแต่ส่งผลมหาศาล
“เมืองมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่ชนบทราว 3-4 องศาเซลเซียส” เขากล่าว พร้อมยกตัวอย่างการทดลองที่น่าสนใจว่า เพียงแค่เปลี่ยนสีของม้านั่งในที่สาธารณะจากสีดำเป็นสีขาวก็สามารถลดอุณหภูมิพื้นผิวจาก 70∘C ที่ร้อนจนนั่งไม่ได้ให้เหลือเพียง 46∘C ได้ ซึ่งสะท้อนว่าทางออกไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป แต่ต้องตั้งอยู่บนความเข้าใจในหลักการพื้นฐาน จากนั้นเขาได้นำเสนอชุดโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยหลักการสองข้อคือ “พลังงานสะอาด” และ “การเชื่อมต่อข้อมูล”
หัวใจของเทคโนโลยีคือโครงสร้างพื้นฐานที่พึ่งพาตนเองได้ด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไม่ว่าจะเป็นป้ายรถเมล์อัจฉริยะ ม้านั่งพลังงานแสงอาทิตย์ หรือสถานีชาร์จและจอดสำหรับยานพาหนะขนาดเล็ก สำหรับจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เพียงแต่ทำให้โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นอิสระจากโครงข่ายไฟฟ้าหลัก แต่ยังช่วยลด Carbon Footprint ของเมืองโดยตรง
แต่ความอัจฉริยะที่แท้จริงซ่อนอยู่ในการเชื่อมต่อข้อมูล โครงสร้างพื้นฐานทุกชิ้นถูกติดตั้งด้วยเซ็นเซอร์ที่หลากหลาย ทั้งเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น มลพิษทางอากาศ (PM2.5 ) และก๊าซต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งแบบเรียลไทม์ไปยังแพลตฟอร์มบริหารจัดการส่วนกลางสำหรับผู้บริหารเมืองซึ่งทำให้พวกเขาสามารถวิเคราะห์และเห็นภาพความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยแวดล้อมกับพฤติกรรมของประชาชนได้ เช่น การใช้งานสวนสาธารณะเพิ่มขึ้นหรือไม่เมื่อคุณภาพอากาศดีขึ้น หรือเส้นทางจักรยานเส้นใดถูกใช้งานมากที่สุดในช่วงเวลาใด เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจวางผังเมืองและนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision) อย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยียังถูกออกแบบมาเพื่อประชาชนทุกคน โดยมีแอปพลิเคชันบนมือถือสำหรับให้ประชาชนค้นหาตำแหน่งของโครงสร้างพื้นฐาน ตรวจสอบสถานะการใช้งาน หรือแม้กระทั่งจองที่จอดจักรยานไฟฟ้าล่วงหน้า ที่สำคัญคือการออกแบบที่คำนึงถึงคนทุกกลุ่ม (Universal Design) เช่น หน้าจอข้อมูลที่ป้ายรถเมล์ นอกจากจะแสดงผลเป็นภาพแล้วยังมีเสียงและระบบ Inductive Loop สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันสำหรับผู้พิการทางสายตาได้อีกด้วย
ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือการทลายกำแพงด้านงบประมาณ เขากล่าวว่าเทคโนโลยีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไปสำหรับเมือง เพราะสามารถใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership) โดยให้เอกชนลงทุนติดตั้งและดูแลรักษาระบบ แลกกับการได้สิทธิ์ใช้พื้นที่โฆษณาขนาดเล็กบนโครงสร้างพื้นฐานนั้นๆ ซึ่งทำให้เทศบาลหรือเมืองสามารถมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียงบประมาณของตัวเองแม้แต่บาทเดียว
“Smart Enough City”: เมืองที่ฉลาดพอดีไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เสนอมุมมองจากฝั่งผู้บริหารเมืองที่ต้องเผชิญกับปัญหาจริงในทุกมิติ โดยนำเสนอแนวคิด “Smart Enough City” หรือ “เมืองที่ฉลาดพอดี” ซึ่งเป็นปรัชญาการพัฒนาเมืองที่ลึกซึ้งกว่าแค่การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาใช้ แต่เป็นการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate) กับบริบทของเมืองและผู้คน โดยมีหัวใจสำคัญคือการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
“เราไม่ได้ต้องการสร้างเพียงแค่ Smart City แต่เราต้องการสร้างเมืองที่ฉลาดพอดีสำหรับทุกคน” รศ.ดร.ทวิดา กล่าว
และขยายความว่า แนวคิดนี้เกิดจากการตระหนักรู้ว่าเทคโนโลยีไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน ประชาชนในกรุงเทพฯ มีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของวัย รายได้ และทักษะทางดิจิทัล การผลักดันเทคโนโลยีที่ซับซ้อนหรือมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป อาจกลายเป็นการสร้างกำแพงและทิ้งคนกลุ่มใหญ่ไว้เบื้องหลัง ดังนั้น “ความฉลาด” ของเมืองจึงไม่ได้วัดที่ความล้ำสมัยของเทคโนโลยี แต่วัดที่ความสามารถในการทำให้เทคโนโลยีนั้น “เข้าถึงได้” (Accessible) และ “มีราคาที่จ่ายได้” (Affordable) สำหรับคนทุกกลุ่ม
แนวทางการรับมือกับ “เมืองเดือด” ของ กทม. ภายใต้แนวคิดนี้ จึงเป็นการผสมผสานระหว่างมาตรการทางเทคโนโลยีและมาตรการที่ไม่ใช่เทคโนโลยี โดยแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก ในด้านหนึ่งคือ การลดผลกระทบ (Mitigation) ผ่านการดำเนินมาตรการเชิงรุก เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกต้นไม้ สร้างสวนสาธารณะ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิเมืองโดยธรรมชาติ ในอีกด้านหนึ่งคือ การปรับตัวและรับมือ (Adaptation & Response) เมื่อความร้อนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมืองต้องมีมาตรการปกป้องกลุ่มเปราะบาง เช่น การจัดทำ “ห้องปลอดฝุ่นและเย็น” (Cooling Room) ในโรงเรียนและศูนย์บริการสาธารณสุข การให้ความรู้ประชาชนในการดูแลตนเองในวันที่อากาศร้อนจัด ซึ่งเคยมีดัชนีความร้อนสูงถึง 53∘C มาแล้ว
รศ.ดร.ทวิดา ยังชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคสำคัญว่าแม้เทคโนโลยีอย่าง Telemedicine (การแพทย์ทางไกล) จะมีประโยชน์ แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการพบแพทย์แบบตัวต่อตัวได้สำหรับผู้สูงอายุหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับสมาร์ทโฟน หรือแม้แต่กระบวนการยืนยันตัวตนที่ซับซ้อนก็อาจเป็นอุปสรรคได้ นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการพัฒนาเมืองต้องอาศัยธรรมาภิบาลทางสังคม (Social Governance) ที่เกิดจากความร่วมมือของ 4 เสาหลัก คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และภาควิชาการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมอย่างแท้จริง
นวัตกรรมที่จับต้องได้: เมื่อทางรอดต้อง “ราคาเหมาะสม” กับบริบทท้องถิ่น

ไผท ผดุงถิ่น ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Builk One Group ได้นำเสนอมุมมองที่สำคัญจากภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่สร้างความร้อนและของเสียให้กับโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างทางออก
เขาได้สะท้อนภาพความเป็นจริงของอุตสาหกรรมก่อสร้างในไทยได้อย่างเห็นภาพ ผ่านคำนิยาม “4D” ที่ไม่ใช่แค่ Dirty (สกปรก) Dangerous (อันตราย) และ Dull (น่าเบื่อ) แต่สำหรับประเทศไทยยังมี D ตัวที่สี่ คือ Damn Hot (ร้อนสุด ๆ) ซึ่งความร้อนระอุนี้ไม่ได้ส่งผลแค่ความยากลำบากในการทำงาน แต่ยังนำไปสู่ความเหนื่อยล้า ความประมาท และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุในไซต์งาน
จุดเปลี่ยนที่สำคัญในมุมมองของเขาคือ “ความท้าทายด้านราคาและความคุ้มค่า” เขายกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า โซลูชันเทคโนโลยีราคาแพงจากประเทศพัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ ที่ซึ่งเงินเดือนวิศวกรสูงกว่าไทย 4-5 เท่า การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อลดเวลาการทำงานอาจมีความคุ้มค่าสูง แต่สำหรับบริบทของไทยที่มีต้นทุนค่าแรงต่ำกว่า การนำเทคโนโลยีราคาเดียวกันมาใช้อาจไม่สมเหตุสมผลและไม่สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่จูงใจได้ นี่คือ “กับดัก” ที่ทำให้นวัตกรรมดี ๆ หลายอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในตลาดกำลังพัฒนา
ดังนั้น กลยุทธ์ของเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้าง “นวัตกรรมที่ราคาเหมาะสม” ซึ่งไม่ใช่แค่การทำให้ราคาถูกลง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องคิดใหม่ทั้งหมด เขาตั้งเป้าที่จะพัฒนาโซลูชันให้มีราคาต่ำกว่าของต่างประเทศถึง 5 เท่า และเพื่อให้เป้าหมายนั้นเป็นจริง เขาได้นำโมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์เข้ามาใช้ เช่น การหาสปอนเซอร์หรือการสร้างรูปแบบธุรกิจอื่นเข้ามาสนับสนุนเพื่อทำให้เทคโนโลยีสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการรายย่อยได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ เขายังทำงานร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย หรือ CECI (Construction Circular Economy) คือ ที่มีองค์กรใหญ่อย่าง SCG เข้าร่วม เพื่อผลักดันการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในภาพรวม แนวทางทั้งหมดนี้คือความพยายามที่จะ “ลดช่องว่างทางนวัตกรรม” (Innovation Gap) ทำให้นวัตกรรมที่พิสูจน์แล้วว่าดี สามารถถูกนำมาปรับใช้และสร้างประโยชน์ได้จริงในบริบทของท้องถิ่น
“การแบ่งปัน” คือหัวใจสู่ทางรอดที่ยั่งยืน
รศ.ดร.ทวิดา กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า คำสำคัญที่สุดที่จะนำเราออกจากวิกฤตินี้คือ “การแบ่งปัน” (Sharing) ซึ่งหมายถึงการแบ่งปันข้อมูลเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าใจปัญหาอย่างถ่องแท้ การแบ่งปันทรัพยากรเพื่อลดความซ้ำซ้อนและทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด การแบ่งปันความรู้เพื่อต่อยอดนวัตกรรมซึ่งกันและกัน และการแบ่งปันเป้าหมายร่วมกันเพื่อทลายกำแพงระหว่างหน่วยงานและสร้างความร่วมมือที่แท้จริง
การเผชิญหน้ากับ “เมืองเดือด” ไม่ใช่ภารกิจของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน การเดินทางครั้งนี้ต้องอาศัยนวัตกรรมที่ “ฉลาดพอดี” เทคโนโลยีที่ “เข้าถึงได้” และที่สำคัญที่สุดคือจิตวิญญาณแห่ง “การแบ่งปัน” เพื่อสร้างเมืองที่เย็นลง ไม่ใช่แค่ในเชิงอุณหภูมิ แต่เย็นลงด้วยความร่วมมือร่วมใจ เพื่อให้เมืองยังคงเป็นบ้านที่น่าอยู่สำหรับเราทุกคนต่อไปในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘CEO Playbook’ ชัยวัฒน์ วาวิสารัช เผยกลยุทธ์ปั้น ‘บางจาก’ สู่ S-Curve พลังงาน
ถอดรหัส 5+1 Pillars: สูตร KBTG สร้าง ‘กองทัพ AI’ พลิกเกมธุรกิจ