Share on
×

Share

‘ท๊อป จิรายุส’ ลดอายุร่างกายจาก 49 เหลือ 30 ด้วยศาสตร์ Longevity

เมื่อชื่อของ ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่าง Bitkub ถูกเอ่ยขึ้นบนเวที หลายคนคงคาดหวังจะได้ฟังเรื่องราวการเดินทางในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ในครั้งนี้ เขากลับมาพร้อมกับเรื่องราวส่วนตัวที่น่าตกใจ และคำเตือนครั้งสำคัญถึงอนาคตของประเทศไทย ในมิติที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง นั่นคือ “วิกฤติสุขภาพ”

จุดเปลี่ยนชีวิต: ราคาที่ต้องจ่ายของความสำเร็จ

ท๊อปเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมเสียเวลาชีวิตไปพอสมควร” เขาย้อนเล่าถึงการเดินทางตลอด 15 ปีที่ผ่านมาว่าเป็นเส้นทางที่ “เจ็บปวดแต่ก็คุ้มค่า” (painful but rewarding) แต่กระนั้น เขาก็ยอมรับว่าหากมีคนถามว่าจะทำซ้ำอีกครั้งหรือไม่ คำตอบของเขาคือ “ไม่” เพราะมันเจ็บปวดเกินไป ภาพของการบุกเบิกในวันที่ยังไม่มีใครเข้าใจ Bitcoin คือการต่อสู้รอบด้าน เขาต้องเผชิญหน้ากับหน่วยงานกำกับดูแลแทบทุกแห่งในประเทศไทย ตั้งแต่ ปปง. ไปจนถึงธนาคารแห่งประเทศไทย การทำงานอย่างหนักหน่วง 7 วันต่อสัปดาห์โดยไม่มีวันหยุด คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสร้าง Bitkub ให้กลายเป็นที่ยอมรับ

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้เอง ที่ได้กัดกร่อนสุขภาพของเขาไปอย่างเงียบ ๆ จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงเมื่อ 2 ปีก่อน ในขณะที่อายุจริงของเขาคือ 33 ปี ผลตรวจกลับชี้ว่า “อายุร่างกาย” (Body Age) ของเขาพุ่งไปถึง 49 ปี ราวกับคนวัยใกล้เกษียณ นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันคือสัญญาณเตือนภัยที่ดังลั่นจากร่างกายที่ถูกทอดทิ้งมานาน เขาตระหนักในทันทีว่า เหล่าผู้ประกอบการจำนวนมากที่กำลังทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็อาจกำลังเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันโดยไม่รู้ตัว

แรงบันดาลใจครั้งสำคัญที่ฉุดเขาขึ้นมาจากภาวะนั้น เกิดขึ้นในงานวันเกิดของเพื่อนรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เขาใหญ่ เขาคือผู้ก่อตั้งบริษัทมหาชนที่กำลังจะอายุครบ 50 ปี แต่กลับมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ มีซิกซ์แพ็ก และน่าทึ่งที่สุดคือมีอายุร่างกายเพียง 30 ต้น ๆ เท่านั้น ซึ่งหนุ่มกว่าอายุจริงของท๊อปเสียอีก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ มันกลายเป็นจุดที่ทำให้เขาตัดสินใจท้าทายตัวเองครั้งใหญ่ เลิกพฤติกรรมทำลายสุขภาพอย่างการดื่มน้ำอัดลม และหันมา “จริงจังกับสุขภาพ” เพื่อสร้าง “ทุนทางสุขภาพ” (Health Equity) ให้กับชีวิต ควบคู่ไปกับ “ทุนทางการเงิน” (Financial Equity) ที่เขาสร้างมาตลอด

พลิกมุมมองสู่ ‘นักกีฬาอาชีพ’ ในโลกธุรกิจ

ท๊อปเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงด้วยการท้าทายค่านิยมของสังคมที่มองว่า “การนอนน้อยคือเรื่องเท่ การดื่มเหล้าปาร์ตี้คือเรื่องเจ๋ง” เขาเสนอค่านิยมใหม่ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงว่า “การนอนเยอะสิถึงจะเท่ การดื่มเหล้ากับการปาร์ตี้น่ะเชย” (Sleeping more is cool, drinking alcohol is lame, partying is lame) เราควรจะภูมิใจที่ได้นอนหลับอย่างน้อยคืนละ 8 ชั่วโมง

จากจุดนั้น เขาได้นำแนวคิดของนักกีฬาระดับโลกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ซึ่งเป็นไอดอลส่วนตัวของเขามาปรับใช้ ท๊อปอธิบายว่าเมื่อก้าวสู่ระดับสูงสุด การแข่งขันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ “ในสนาม” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแข่งขัน “นอกสนาม” ด้วย โรนัลโดมีวินัยอย่างยิ่งยวดนอกสนาม เขาไม่ไปปาร์ตี้เหมือนผู้เล่นคนอื่น มีเชฟส่วนตัวคอยดูแลอาหารการกิน เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับเกมเสมอ การจะเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกได้นั้น ลำพังตัวเองไม่เคยพอ แต่ต้องมี “ทีมซูเปอร์แมน” คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

ท๊อปได้นำปรัชญานี้มาใช้กับการเดินทางของผู้ประกอบการ เขาเริ่มมองตัวเองในฐานะ “นักกีฬาอาชีพ” คนหนึ่ง ซึ่ง “กีฬา” ของเขาคือ การตัดสินใจทางธุรกิจที่เฉียบคมและแม่นยำที่สุด และ “สนามซ้อม” ก็คือการใช้ชีวิตประจำวัน การดื่มน้ำอัดลม การบริโภคน้ำตาล หรือการนอนไม่พอ ล้วนเป็นการทำลายสมอง สร้างภาวะอักเสบ และลดประสิทธิภาพของตัวเอง เปรียบเสมือนนักกีฬาที่ไม่ได้ฝึกซ้อม “นอกสนาม” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันจริง

ผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมนั้นน่าทึ่งมาก ภายในเวลาเพียงปีครึ่ง ท๊อปสามารถลดอายุร่างกายจาก 49 ปี ลงมาเหลือ 30 ปีได้สำเร็จ เขายืนยันว่านี่คือ “ความหรูหราที่แท้จริงของชีวิต” เขารู้สึกสดชื่น มีพลังในทุกเช้าที่ตื่นนอน และที่สำคัญที่สุดคือ เขาสามารถรับมือกับความเครียดและปัญหาต่างๆ ที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญได้ในระดับที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จากบทเรียน Crypto สู่คำพยากรณ์วิกฤติสุขภาพชาติ

ประสบการณ์ส่วนตัวได้เปิดมุมมองให้ท๊อปเห็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น เขามองเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างระบบสาธารณสุขในปัจจุบันกับระบบการเงินเมื่อ 15 ปีก่อนได้อย่างชัดเจน เขากล่าวว่า “ตอนที่ผมพูดเรื่อง Longevity แพทย์แผนปัจจุบันก็มองผมด้วยสายตาแบบเดียวกันกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมองผมตอนที่ผมพูดเรื่อง Bitcoin” มันคือสายตาแห่งความกังขาต่อสิ่งใหม่ที่เข้ามาท้าทายระบบดั้งเดิม

เขาเริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบกับวิกฤติที่ทุกคนมองเห็นในปัจจุบัน นั่นคือวิกฤติหนี้ครัวเรือนของไทยที่พุ่งสูงถึง 90% ของ GDP ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) แต่เขายืนยันว่า “นี่ไม่ใช่วิกฤติที่ใหญ่ที่สุด” วิกฤติการณ์ที่น่ากลัวและจะส่งผลกระทบรุนแรงกว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า นั่นคือ “วิกฤติสุขภาพ”

ท๊อปได้ฉายภาพให้เห็นถึงข้อมูลที่น่ากังวลหลายมิติ เริ่มจากช่องว่าง 10 ปีที่หายไปในชีวิตคนไทย จากอายุขัยเฉลี่ย (Lifespan) 75 ปี แต่กลับมีช่วงเวลาสุขภาพดี (Healthspan) เพียง 65 ปี นั่นคือทศวรรษสุดท้ายของชีวิตที่อาจต้องทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงจากภัยเงียบของกลุ่มโรค NCDs เช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน และโรคหัวใจ ซึ่งน่าตกใจที่ปัจจุบันคนอายุ 30 ปีก็สามารถเป็นมะเร็งได้แล้ว ปัญหานี้ยังสะท้อนผ่านระบบอาหาร แม้ไทยจะเป็น “ครัวของโลก” แต่เขาเล่าว่าเคยใช้เวลาเดินในซูเปอร์มาร์เก็ต 45 นาที แต่กลับไม่สามารถหาซื้ออะไรที่ไม่ทำร้ายร่างกายหรือสร้างการอักเสบได้เลย

สถานการณ์ทั้งหมดนี้กำลังถูกซ้ำเติมด้วย “ระเบิดเวลาทางประชากร” ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่เพียงปีละ 5 แสนคน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนคนเสียชีวิต ทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ไทยจะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสุดยอด” (Super-aging Economy) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายถึง 1 ใน 5 ของประชากร หรือ 20% จะมีอายุเกิน 65 ปี ลองจินตนาการถึงอนาคตที่คนวัยทำงานซึ่งมีจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ ต้องแบกรับภาระกองทุนประกันสังคมเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่ “อายุยืนขึ้นแต่ป่วยนานขึ้น” มีผู้ป่วยมะเร็งและโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นทุกปี นี่คือวิกฤติโครงสร้างที่จะสั่นคลอนรากฐานของประเทศอย่างแน่นอน

ระบบที่ล้าสมัยและโอกาสของผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

ท๊อปสรุปว่า รากเหง้าของวิกฤติทั้งหมดมาจากสองปัจจัยหลัก คือ การขาดความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) และระบบสาธารณสุขที่ล้าสมัย คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจพื้นฐานสำคัญ เช่น การสร้างกล้ามเนื้อคือสกุลเงินของความอายุยืน (Muscle is the currency of longevity) การขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดวันสำคัญกว่าการวิ่ง 10 กิโลเมตรหลังนั่งทำงานมาทั้งวัน หรือความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าแคลอรีจากอาหารแปรรูปกับอาหารธรรมชาติให้ผลเหมือนกัน

ในขณะเดียวกัน เขาวิพากษ์ระบบการแพทย์ปัจจุบันว่า “พัง” (broken) เพราะเป็นระบบที่อิงตามอาการและตำแหน่งที่ตั้ง (symptoms and geolocation) แทนที่จะมองร่างกายเป็นองค์รวมแบบชีววิทยาระเบียบ (System Biology) เขายกตัวอย่างว่า

“เมื่อคุณปวดหัว คุณไปหาหมอเฉพาะทางศีรษะ ปวดท้อง ก็ไปหาหมอเฉพาะทางกระเพาะ แต่ร่างกายไม่ได้ทำงานแบบนั้น เมื่อคุณมีภาวะซึมเศร้า คุณอาจต้องแก้ที่สุขภาพลำไส้ ไม่ใช่แค่ไปพบจิตแพทย์” ระบบปัจจุบันมุ่งเน้นการกดอาการ ไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ”ทั้งที่มีอาการของโรคกว่า 155,000 อาการ แต่ทั้งหมดล้วนมีต้นตอมาจากแก่นแท้ของความชรา (Hallmarks of Aging) เพียง 10 อย่าง เช่น การทำงานของไมโทคอนเดรียผิดปกติ หรือความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงชี้ให้เห็นสถิติที่น่าตกใจว่า คนไทยเพียง 6 ใน 100 คนเท่านั้นที่มีสุขภาพดีในระดับเมแทบอลิซึม ส่วนที่เหลืออีก 94 คน กำลังป่วยแฝง (implicitly sick) โดยไม่รู้ตัว และรอเวลาที่อาการจะปรากฏออกมาเท่านั้น

นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ประกอบการและนักสร้างการเปลี่ยนแปลง เขาย้ำว่าคนที่เข้ามาปฏิวัติวงการนี้จะไม่ใช่คนในระบบดั้งเดิม เหมือนที่ธนาคารไม่ได้สร้าง Bitcoin หรือ Toyota ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพราะคนในระบบมักจะยุ่งเกินไปกับการดำเนินงานแบบเดิม ๆ จนไม่มีเวลาสำรวจสิ่งใหม่

“การมาถึงของหลอดไฟ ไม่ได้มาจากการพัฒนาเทียนไขอย่างต่อเนื่อง The arrival of electric light does not come from a continuous improvement of candles.” เขากล่าว ทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

แก่นคิด ‘ซิกเว่ เบรกเก้’: ผู้นำที่รักความผิดพลาดและปรัชญา ‘แน่น-ปล่อย-แน่น’ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง

อนาคตท่องเที่ยวไทย: ชู ‘เมืองรอง’ สู่จุดหมายใหม่ด้วย Big Data และ Storytelling

×

Share

ผู้เขียน