จะดีกว่าหรือไม่ หาก 10 ปีสุดท้ายของชีวิตไม่ใช่การต่อสู้กับความเจ็บป่วย แต่คือช่วงเวลาของการมีสุขภาพที่ดีและเป็นอิสระ? คำถามนี้คือโจทย์ใหญ่ที่กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ในโลกของการดูแลสุขภาพ จากเป้าหมายเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการยืด ‘อายุขัย’ (Lifespan) ไปสู่การสร้างและขยาย ‘ช่วงเวลาแห่งการมีสุขภาพดี’ (Healthspan) ให้ยาวนานที่สุด
ในเวทีเสวนา Techsauce Global Summit 2025 ประเด็นเรื่องอนาคตของสุขภาพได้ถูกจุดประกายขึ้นอย่างน่าสนใจ ภายใต้หัวข้อ “Preventative Care and Longevity: Public Tech Supporting” ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาคำตอบว่า เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “ตั้งรับ” รักษาความเจ็บป่วย ไปสู่การ “สร้างเสริม” สุขภาพเชิงรุกได้อย่างไร การเสวนาครั้งนี้มุ่งสร้างอนาคตที่มนุษย์ไม่เพียงมีอายุยืนยาวขึ้น แต่ยังมีช่วงเวลาแห่งการมีสุขภาพดีที่ยาวนาน หรือที่เรียกว่า Healthspan อีกด้วย

โดยเวทีนี้ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล ประธานศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุศิริราช, แพทย์หญิงนาฏ ฟองสมุทร ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการด้านผู้สูงอายุและผู้อํานวยการฝ่ายการแพทย์ ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท, ภก.เพียร เพลินบรรณกิจ Head of Public Affairs and Sustainability, Novo Nordisk Pharma (Thailand), นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท และ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข
นิยามใหม่ของชีวิตที่ยืนยาว: จาก Lifespan สู่ Healthspan
ประเด็นสำคัญที่ผู้ร่วมเสวนาทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือ เป้าหมายของชีวิตที่ยืนยาวในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่การมีอายุขัย (Lifespan) ที่ยาวนานเท่านั้น แต่คือการขยายช่วงวัยที่มีสุขภาพดี (Healthspan) ให้ยาวนานที่สุด นายแพทย์ตนุพลได้ฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยของคนทั่วโลกอยู่ที่ 73 ปี แต่ Healthspan เฉลี่ยอยู่ที่เพียง 63 ปี นั่นหมายความว่าเราอาจต้องใช้ชีวิต 10 ปีสุดท้ายไปกับความเจ็บป่วยและภาวะพึ่งพิง สำหรับคนไทยตัวเลขก็มีความคล้ายคลึงกัน โดยมีอายุขัยเฉลี่ย 77 ปี แต่ Healthspan อยู่ที่ 67 ปี ช่องว่าง 10 ปีนี้คือสิ่งที่วงการแพทย์ยุคใหม่ต้องการจะลดลงให้ได้มากที่สุด ซึ่ง ศ.นพ.วีรศักดิ์ได้เสริมว่า หัวใจสำคัญของ Healthspan คือการที่ผู้สูงวัยยังคงรักษา “ความเป็นอิสระ” ในการใช้ชีวิตไว้ได้ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง มีความทรงจำที่เฉียบคม และยังคงเชื่อมโยงกับสังคมได้
อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการมีสุขภาพดีที่ยืนยาว
ภก.เพียรได้ชี้ให้เห็นว่า ศัตรูตัวฉกาจที่คอยบั่นทอน Healthspan ของผู้คนคือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และโรคหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่สำคัญที่สุด โดยโรคอ้วนเพียงอย่างเดียวก็สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็น 1.2% ของ GDP แล้ว
ด้านนายแพทย์ตนุพลได้เรียกโรคกลุ่มนี้ว่าเป็น “โรคที่สร้างขึ้นเอง” จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ผู้ที่มีโรคกลุ่ม NCDs มีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว โดยสถิติในประเทศไทยนั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง เพราะมีผู้เสียชีวิตจาก NCDs ถึง 44 คนต่อชั่วโมง
เทคโนโลยีและ AI: เครื่องมือเปลี่ยนเกมสู่สุขภาพเชิงรุก
เมื่อการรอให้ป่วยแล้วค่อยรักษาไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสุขภาพเชิงรุก นายแพทย์ตนุพล เปรียบเทียบว่าการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันในยุคใหม่นั้นลึกซึ้งกว่าในอดีตมาก เหมือนการดูแล “รถแข่ง F1” ที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลนับพันจุด ไม่ใช่แค่การเช็คระยะทั่วไป โดยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เราสามารถตรวจสุขภาพได้ลึกถึงระดับ DNA, Epigenetics (กลไกเหนือพันธุกรรม), ความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere) และการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของแต่ละบุคคล
นายแพทย์ตนุพล กล่าวว่าเชื่อว่า AI จะไม่มาแทนที่แพทย์ แต่จะเป็น “ผู้ช่วยที่ทรงพลัง” ในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้เพื่อสร้างแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล หรือ “Personalized Longevity Plan” โดย AI สามารถคำนวณคะแนนความเสี่ยง (Risk Score) และแสดงให้เห็นว่าหากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะส่งผลต่ออนาคตสุขภาพได้อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนหลักการ 4P คือ Prevent (ป้องกัน) Predict (ทำนาย) Personalize (เฉพาะบุคคล) และ Participation (การมีส่วนร่วมของผู้รับบริการ)
ขณะเดียวกัน แพทย์หญิงนาฏชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีอย่างอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) เช่น แหวนอัจฉริยะ หรือเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลต่อเนื่อง จะช่วยสร้างความต่อเนื่องในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็นผลลัพธ์ของการดูแลตนเอง แต่ท่านก็ได้เตือนว่าเป้าหมายของการใช้เทคโนโลยีคือ คุณภาพชีวิตที่ดีไม่ใช่การตกไปอยู่ในกับดักของการมีอายุยืนยาวแบบสุดขั้ว
ด้าน ศ.นพ.วีรศักดิ์ กล่าวเสริมในมุมของเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุ (AgeTech) ว่าสามารถนำมาใช้ได้ตั้งแต่การคัดกรองความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมผ่านการวิเคราะห์เสียงพูด การวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้นโดยใช้ภาพถ่ายสมองและสารบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) ไปจนถึงการช่วยดูแลความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน แต่ก็ชี้ถึงอุปสรรคสำคัญคือเทคโนโลยีส่วนใหญ่ยังเป็นแบบ “ตั้งรับ” (Reactive) มากกว่า “เชิงรุก” (Proactive) รวมถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงและการออกแบบที่ยังไม่สอดคล้องกับบริบทของผู้สูงอายุไทย
พลังแห่งความร่วมมือเพื่อสร้างระบบนิเวศสุขภาพที่ยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไม่สามารถสำเร็จได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยการสร้างระบบนิเวศสุขภาพ (Health Ecosystem) ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภก.เพียรได้ให้มุมมองว่าภาคเอกชนยุคใหม่ต้องก้าวข้ามบทบาทเดิม ๆ ไปสู่การเป็นผู้ร่วมสร้างระบบนิเวศเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง ท่านได้ยกตัวอย่างโครงการ City for Better Health ซึ่งเป็นความร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อต่อสู้กับปัญหาโรคอ้วนในเขตเมือง โดยลงมือทำใน 3 ด้านหลักคือ การปรับปรุงคุณภาพอาหาร การเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อการสันทนาการ และการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียน
นอกจากนี้ การสร้างระบบนิเวศยังขยายวงกว้างไปสู่การทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อสร้างแพลตฟอร์มให้ความรู้และเพิ่มการเข้าถึงการรักษา รวมถึงการร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและสถานทูตต่างประเทศเพื่อวางยุทธศาสตร์ระดับชาติในระยะยาว ซึ่งหัวใจสำคัญคือการดึงจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาใช้ โดยภาครัฐมีบทบาทด้านกฎระเบียบและความน่าเชื่อถือ ส่วนภาคเอกชนนำมาซึ่งประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้ป่วย
ศ.นพ.วีรศักดิ์ย้ำถึงความสำคัญของการ “Co-creation” หรือการร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยให้ผู้ใช้งานจริงอย่างผู้สูงอายุเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบตั้งแต่ต้น เพื่อทลายกำแพงการพัฒนาแบบแยกส่วน (Silo) และเพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนั้นสามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันและบูรณาการเข้ากับระบบสุขภาพได้
สุขภาพดีเริ่มต้นที่ตัวเรา
ในช่วงท้ายของการเสวนา ผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านได้มอบข้อเสนอแนะที่ทรงคุณค่าเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ นายแพทย์ตนุพล ชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาเป็น “Brand Ambassador ด้านสุขภาพ” ให้กับตนเอง พร้อมมอบหลักการ “6 เสาหลักแห่งความอายุยืน” ได้แก่ การนอนหลับที่เพียงพอ การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง การดูแลสุขภาพจิต และการมอบความรักให้คนรอบข้าง
ขณะที่ แพทย์หญิงนาฏกล่าวว่า สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีคืออนาคตของเศรษฐกิจไทยและเรียกร้องให้ร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ภก.เพียร ที่กระตุ้นให้ทุกคน “ลงทุนกับสุขภาพของตนเอง” และเริ่มต้นบทสนทนาเรื่องสุขภาพกับคนใกล้ชิดและบุคลากรทางการแพทย์
ท้ายที่สุด ศ.นพ.วีรศักดิ์เน้นย้ำในระดับโครงสร้างว่า “เราต้องผลักดันให้การดูแลตนเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพแห่งชาติ” ไม่ใช่เป็นเพียงทางเลือกส่วนบุคคล เพื่อสร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการมีสุขภาพดีได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ท็อป จิรายุส’ ลดอายุร่างกายจาก 49 เหลือ 30 ด้วยศาสตร์ Longevity
แก่นคิด ‘ซิกเว่ เบรกเก้’: ผู้นำที่รักความผิดพลาดและปรัชญา ‘แน่น-ปล่อย-แน่น’ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง