Share on
×

Share

เบื้องหลังความสำเร็จ ‘สมฤดี ชัยมงคล’ อดีต CEO บ้านปูที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์

เบื้องหลังความสำเร็จของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มักมีเรื่องราวที่ลึกซึ้งกว่าแค่การไต่เต้าจากจุดต่ำสุดเสมอ สำหรับ สมฤดี ชัยมงคล อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แห่งบ้านปู แม้เส้นทางสู่ตำแหน่งสูงสุดจะเริ่มต้นจากตำแหน่งพนักงานต้อนรับ แต่ทุนที่แท้จริงของเธอกลับไม่ใช่ศูนย์ แต่คือกรอบความคิดที่พร้อมเรียนรู้ โอกาสที่เธอสร้างขึ้นเอง และความมุ่งมั่นที่จะเติบโต นี่คือบทสรุปจากการสนทนาที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ที่จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จตลอด 42 ปีของเธอกับบ้านปู

จากพนักงานต้อนรับสู่ลูกเป็ดผู้ไม่เคยหยุดเรียนรู้

จุดเริ่มต้นของสมฤดีในบ้านปูคือภาพสะท้อนของความถ่อมตนและความมุ่งมั่น แม้จะสำเร็จการศึกษาด้านบัญชี แต่เธอเลือกที่จะเริ่มต้นจากตำแหน่งพนักงานต้อนรับ เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสในการทำงานกับองค์กรที่เธอเชื่อมั่น การเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดานี้ขับเคลื่อนด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง (Open-minded) และกรอบความคิดที่เธอเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นเหมือนลูกเป็ด (Duckling)

ในความหมายแบบไทย ๆ เป็ดคือผู้ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะบิน เดิน ว่ายน้ำ หรือวิ่ง แต่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แทนที่จะมองว่าเป็นข้อจำกัด สมฤดีกลับใช้มันเป็นยุทธศาสตร์ในการเติบโต เธอพร้อมเปิดรับทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ ทำให้ได้เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ในหลากหลายมิติ การเรียนรู้นี้ยังได้รับแรงสนับสนุนและการชี้แนะจากเมนเทอร์คนสำคัญอย่าง ชนินท์ว่องกุศลกิจผู้ก่อตั้งบ้านปู ซึ่งเธอได้เดินตามรอยและเรียนรู้จากท่านอย่างใกล้ชิด

ปรัชญาลูกเป็ดนี้ ยังถูกเสริมด้วยความกล้าที่จะใส่รองเท้าที่ใหญ่กว่าตัว (Put yourself in bigger shoes) และยึดมั่นในคำสอนที่ว่า จงเอื้อมมือไปให้ไกลเกินกว่าที่เราจะสัมผัสถึง (Reach out further than you can touch) หลักการเหล่านี้กลายเป็นพลังผลักดันให้เธอไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองตลอดเส้นทาง 42 ปีในบ้านปู และเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อหลอมให้เธอพร้อมสำหรับบทบาทที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา

วิกฤติคือเบ้าหลอมสู่การเป็นพญาหงส์

หากลูกเป็ดคือจุดเริ่มต้น เป้าหมายที่สูงขึ้นของสมฤดีคือการเป็นพญาหงส์ (Swan) ที่แม้จะดูสง่างามและเยือกเย็นบนผิวน้ำ แต่ใต้ผิวน้ำนั้น เท้าทั้งสองข้างกลับต้องทำงานอย่างหนักหน่วงไม่ต่างจากเครื่องจักร ซึ่งเส้นทางสู่การเป็นพญาหงส์นั้น ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ถูกหล่อหลอมในเบ้าหลอมของวิกฤติครั้งสำคัญที่พลิกบทบาทและสร้างการเรียนรู้ให้เธอในแต่ละช่วงของชีวิต

การเรียนรู้เริ่มต้นจากวิกฤติพลังงานโลกในช่วงทศวรรษ 1980 ในฐานะพนักงานที่ยังอายุน้อย เธอได้เรียนรู้ผ่านการสังเกตการณ์ว่าผู้นำในขณะนั้นตัดสินใจ จัดตั้งทีม และรับมือกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร นับเป็นบทเรียนแรกที่ทำให้เห็นภาพการนำทัพในสถานการณ์จริง

ต่อมาในวิกฤติต้มยำกุ้งปี 1997 ซึ่งกระทบประเทศไทยอย่างรุนแรง บทบาทของเธอได้เปลี่ยนจากผู้สังเกตการณ์มาเป็นผู้ลงมือแก้ปัญหาโดยตรง เธอต้องทำงานอย่างไม่หยุดพักเพื่อร่วมพลิกฟื้นและนำพาองค์กรให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง บทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดจากวิกฤติครั้งนี้คือการตระหนักว่า คนคือหัวใจสำคัญอย่างแท้จริง และการสร้างความแข็งแกร่งให้คนในองค์กรระหว่างวิกฤติ คือการเตรียมความพร้อมที่ดีที่สุดเพื่อการเติบโตในอนาคต

จนกระทั่งเมื่อโลกเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 เธอได้ก้าวสู่บทบาทสูงสุดในฐานะ CEO ผู้นำทัพอย่างเต็มตัว เธอต้องจัดตั้งทีมฉุกเฉิน สื่อสารกับพนักงานทุกวัน และแบกรับความรับผิดชอบที่ไม่ใช่แค่เพียงองค์กร แต่ยังรวมถึงการช่วยเหลือสังคมให้แข็งแกร่งพอที่จะก้าวผ่านไปพร้อมกันได้

สมฤดีสรุปว่า ทุกวิกฤติคือโอกาสในการเรียนรู้ ที่เราต้องเรียนรู้จากอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และวางแผนเพื่ออนาคต การเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสนี่เอง คือหัวใจของการเป็นพญาหงส์ที่สมบูรณ์

หลักยึดผู้นำในโลกที่ไม่เหมือนเดิมจาก ESG สู่คุณค่าของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สมฤดีเชื่อว่าโลกในปัจจุบันไม่มีคำว่าปกติอีกต่อไป แต่เป็นโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง (Never Normal World) ซึ่งความไม่แน่นอนคือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ผู้นำยุคใหม่จึงต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนมุมมองของตนเอง ตื่นเช้ามาจงไฮไฟว์กับตัวเอง สร้างพลังใจเพื่อเผชิญกับทุกอุปสรรค เธอกล่าวพร้อมแนะนำให้โอบรับความไม่แน่นอน (Embrace the uncertainty) แทนที่จะกล่าวโทษมัน เพราะการยอมรับจะทำให้เราเตรียมพร้อม มีจิตใจที่สงบ และเมื่อเราส่งพลังงานบวกออกไป โลกก็จะส่งพลังบวกกลับมาเช่นกัน

บนฐานของมุมมองนี้ เธอได้ตกผลึกหลักการสำคัญในการนำองค์กรไว้ ประการแรกคือ ให้คุณค่ากับคนเป็นอันดับสูงสุด เพราะคนคือสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุด ผู้นำต้องโค้ช ให้คำปรึกษา และสร้างพวกเขาให้แข็งแกร่ง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว คนเหล่านี้คือผู้ที่จะปกป้องและนำพาองค์กรให้รอดพ้นจากทุกความท้าทาย

ประการต่อมาคือ ยึดมั่นในหลักความยั่งยืน (ESG) ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้หัวใจของเธออย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่แค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่คือการตั้งคำถามว่า เราจะสร้างประโยชน์ให้โลกได้อย่างไร การใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาลที่ดี จะสร้างเกราะป้องกันให้องค์กร และทำให้เมื่อคุณล้ม จะมีคนพร้อมช่วยเหลือ

หลักการทั้งหมดนี้ถูกร้อยเรียงอยู่ภายใต้แนวคิดที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเปลี่ยนจากคุณค่าของผู้ถือหุ้น (Shareholder Value) มาสู่คุณค่าของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (Stakeholder Value) ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ลงทุน แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแรง ซึ่งรวมถึงพนักงาน คู่ค้า ชุมชน สังคม และที่สำคัญคือครอบครัว ซึ่งเป็นกำลังใจที่หลายคนอาจมองข้าม การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้องค์กรได้รับการสนับสนุนจากทุกทิศทางและเติบโตได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง

เสน่ห์ไทยสู่เวทีโลกและพลังแห่งการรับฟังเพื่อชนะใจคน

ในการนำพาบ้านปูสู่องค์กรระดับโลกที่ดำเนินงานใน 9 ประเทศ สมฤดีมองว่าเสน่ห์ของวัฒนธรรมไทยคืออาวุธลับที่ทรงพลัง เธอชี้ว่าคนไทยมีจุดแข็งด้าน Soft Side ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่จริงใจซึ่งเป็นที่จดจำ หรือความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่ยึดติดกับเวลาทำงานแบบ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เมื่อนำจุดแข็งเหล่านี้ไปผสมผสานกับหลักการและระบบการทำงานที่เป็นเลิศของวัฒนธรรมตะวันตก เช่น ในสหรัฐอเมริกาหรือออสเตรเลีย จะเกิดเป็นการทำงานร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย (Symbiosis) ที่ลงตัว กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบพหุวัฒนธรรม (Multi-culture) ที่แข็งแกร่งและนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์เหล่านี้จะเปล่งประกายได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อผู้นำรู้จักใช้พลังของการรับฟัง (The Power of Listening) ซึ่งเป็นเคล็ดลับสำคัญที่สมฤดีใช้มาตลอดอาชีพ เธอเลือกที่จะเป็นผู้ฟังที่ดีก่อนเสมอ เพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อนจะตัดสินใจหรือแสดงความคิดเห็น เพราะเธอเชื่อว่าเมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอ เราจะสามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทาย และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับทั้งตัวเอง ทีม และองค์กรได้

และเพื่อที่จะชนะใจคนได้อย่างแท้จริง เธอได้ฝากเคล็ดลับในการสื่อสารทิ้งท้ายไว้ว่า ก่อนจะพูดอะไรให้ถามตัวเองด้วยคำถามสามข้อเสมอคือ หนึ่ง สิ่งนั้นสำคัญหรือไม่ สอง มันสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือเปล่า และ สามซึ่งสำคัญที่สุด มันจะไปทำร้ายจิตใจใครหรือไม่ หากคำตอบของข้อสุดท้ายคือใช่ ก็จงเลือกที่จะเงียบ เพราะการชนะใจคน คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จในทุกมิติของชีวิต และจะทำให้เราได้แฟนคลับที่พร้อมจะสนับสนุนเราเสมอ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘WHA’ จากโลจิสติกส์สู่ Tech Company มูลค่า 2 แสนล้าน

ทรู คอร์ปอเรชั่นพลิกโฉมสู่ AI-First ชู 5G เจาะตลาดลูกค้าและ SME

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ผู้เขียน