Share on
×

Share

‘หาได้เพิ่มเท่าไร ใช้เท่าเดิม’ สูตรลับสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของมนุษย์เงินเดือน

ยามนี้ ท่ามกลางปัญหาร้อยแปดนับพันนับหมื่นแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องสภาพคล่องน่าจะเป็นปัญหาหนักอกหนักใจพวกเราไม่น้อย โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะเป็นคนภาคเอกชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ถูกเรียกขานว่า “ชนชั้นกลาง”

ในด้านหนึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือน มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือการมีรายได้ประจำ และเมื่อครบกำหนด ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏจะได้ปรับอัตราเงินเดือน หรือหากผลงานดีเด่น ก็ได้รับการโปรโมทเป็นใหญ่เป็นโตกันไป หากอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ สวัสดิการเพียบ อยู่กันยันเกษียณ

แต่วันนี้… สถานการณ์มันเปลี่ยนไปเร็วมาก

สมัยหนึ่งชนชั้นกลางรบรากับงานกับคนในองค์กร (บางคนเรียกว่าเป็นการเมืองในองค์กร) ก็หนักหนากันพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือ ปัญหาสภาพคล่องของคนชั้นกลาง เนื่องจากการขาดเงินออม และไม่มีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน มาเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง

การพึ่งรายได้ทางเดียวของชนชั้นกลาง ในขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มสูงตามอายุงาน สูงตามตำแหน่งที่ได้รับการเลื่อนขั้น เพราะมั่นใจว่าสิ้นเดือนก็จะได้เงินเดือน สามารถหมุนกลับไปชดเชยได้ เรียกว่าหมุนเงินกันเดือนต่อเดือน จนมองข้ามการสร้างเงินออม และเมื่อผ่านเวลาไปหลาย ๆ เดือน จนเป็นปี ความเคยชิน การเป็นมือเติบในการใช้จ่าย มักจะจบด้วยเหตุเพราะเป็นเรื่องจำเป็นไปเสียทุกเรื่อง

และเมื่อปรากฏการณ์ของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ที่บอกเราว่า ปัญญาประดิษฐ์ คือความสามารถของเครื่องจักร ในการเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ จากเดิมที่รู้แต่เพียงคร่าว ๆ ว่าสามารถทดแทนเป็นเครื่องมือเสริมในการช่วยคิด แต่ไม่รู้ว่าจะนำมาปรับใช้งานกับการทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างไร จะเหมือนกับระบบออโตเมติกในโรงงานอุตสาหกรรมหรือเปล่า ที่ลดแรงงานส่วนที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ นั้นไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คำว่า ดิจิทัลเทคโนโลยี เข้าไปสนับสนุนการทำงาน กลายเป็นว่าวันนี้ ค่าตัวคนทำงานเพิ่มขึ้น แต่จำนวนคนที่ต้องการกลับน้อยลง

แน่นอน…ผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้เดิมแค่คิดว่าจะมาไม่ถึงการเป็นมนุษย์เงินเดือน แต่วันนี้ เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป แต่ความต้องการของธุรกิจยังเหมือนเดิม ต้องการการเติบโต โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง สิ่งที่เราได้ยินคือ ”ไอทีอินเดีย” เจอวิกฤติเลิกจ้าง ยักษ์เทคภารตะปลดพนักงาน “นับหมื่นคน” (โมเดลแรงงานต้นทุนต่ำที่เคยรุ่งโรจน์ กำลังถูกแทนที่ด้วยยุค AI และระบบอัตโนมัติ)

เมื่อ “เงินเดือน” คือรายได้ทางเดียว (เท่านั้น) ข้อเท็จจริง บอกเราว่า การมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นในวันที่มีรายได้เพิ่มขึ้น คือคำตอบว่าทำไมรายได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่มีเงินเหลือเลย ในวันที่บริษัทใหญ่ไม่ได้สร้างความมั่นคงไปเสียแล้ว เพราะเมื่อไรที่เลิกจ้าง เงินเดือนจำนวนมากมายก็หายวับในพริบตาได้เหมือนกัน การเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วไม่มีเงินออม เมื่อไรหยุดทำงาน เมื่อนั้นเงินหมด

เงินเดือนเพิ่มขึ้น คือโอกาส(ที่เพิ่มเงินออม) แต่ไม่ใช่ข้ออ้างให้เรามีรายจ่ายเพิ่ม ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Lifestyle creep หรือบางคนเรียกว่าเป็น Lifestyle inflation เป็นปรากฏการณ์ที่มักจะมีรสนิยมเพิ่มตามรายได้ การตัดสินใจขึ้นกับอารมณ์ สุดท้าย ไม่รู้ว่าอะไรคือความจำเป็นหรือความต้องการ

ในสถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด การแสวงหาช่องทางมีมาทุกยุคทุกสมัย สำนวน “อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา” ยังเป็นคำคมที่เป็นมงคลแห่งชีวิต ปลุกปลอบให้คนต่อสู้กับชีวิต

ในสมัยก่อนเมื่อหมดฤดูกาลเกษตร จะมีแรงงานส่วนหนึ่งที่เข้ามาหางานเพิ่มในกรุงเทพฯ บ้างมารับจ้างขับรถแท็กซี่ บ้างมารับจ้างเป็นแรงงานก่อสร้าง แม้ในปัจจุบันรูปแบบจะเปลี่ยนไป แต่การดิ้นรนยังเหมือนเดิม ในปัจจุบัน เราได้เห็นหลายชีวิตที่รับจ้างขับแกรบคาร์หรือแกรบไบท์เมื่อตอนเลิกงานประจำ และไม่ใช่คนจากต่างจังหวัดที่หมดฤดูการทำเกษตร แต่เป็นคนชั้นกลาง เป็นมนุษย์เงินเดือนในเมืองหลวงด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา เพิ่มเงินเพื่อใช้หนี้ สร้างเงินออม หรือหารายได้เพื่อเพียงพอกับรายจ่าย ฯลฯ

เชื่อว่าการหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รอเงินเดือนแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากจะมาช่วยแก้ขัดแล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่หากใครทำได้ คือการทำให้มีรายจ่ายเท่าเดิม ในขณะที่หารายได้เพิ่ม เท่ากับคุณสามารถสร้างเงินออมขึ้นมาได้แน่นอน…ว่าต้องใช้ความอดทนและเป็นคนมีวินัยอย่างมาก

แต่หากยังเป็นคนที่ประพฤติแบบ Middle-so: คนที่ไม่ได้เป็นไฮโซ แต่พยายามใช้เงินแบบไฮโซ เพื่อเติมเต็มความสุขที่ตัวเองฝันใฝ่ล่ะก็ เสียใจด้วย คุณเตรียมรับชะตากรรมเถิด…สวัสดี

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เตรียมตัวสู่การเป็น ‘ทศวรรษที่สูญหาย’

คนไทยวันนี้ เฉกเช่นไก่ในเข่ง!!

Home is where the Heart is

×

Share

ผู้เขียน