อุตสาหกรรมกุ้งไทยที่เคยรุ่งโรจน์ในฐานะผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญ แต่ทางออกอาจไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันด้านราคาอีกต่อไป เวทีเสวนา “Blue Financing and Aquaculture: Empowering the Sustainability Transition” เป็นเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชนรายใหญ่ เกษตรกร และสถาบันการเงิน มารวมตัวกันเพื่อสร้าง ‘Ecosystem’ แห่งความร่วมมือ ที่จะนำพาอุตสาหกรรมกุ้งไทยกลับสู่เวทีโลกอีกครั้งด้วยอาวุธใหม่ที่ชื่อว่า ‘ความยั่งยืน’

ไทยยูเนี่ยนกับภารกิจ “กุ้งคาร์บอนต่ำ” จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง
ภารกิจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็นผลต่อยอดจากเส้นทางด้านความยั่งยืนที่ไทยยูเนี่ยนเดินหน้ามาตลอดทศวรรษ จากจุดเริ่มต้นที่มองว่าความยั่งยืนคือ “ใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจ” (License to Operate) สู่การวางกลยุทธ์ SeaChange 2030 ที่ตั้งเป้าหมายสูงสุดในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ซึ่งครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
ภาณุ บุญทรง ผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืน ส่วนงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า กุ้งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้บริษัทราว 20-30% ถูกเลือกให้เป็นเป้าหมายสำคัญ เนื่องจากมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูงเมื่อเทียบกับโปรตีนทะเลชนิดอื่น หรือแม้แต่เนื้อหมูและไก่ โดยเฉพาะในระบบการเลี้ยงแบบหนาแน่นของไทย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจาก 2 แหล่งหลัก คือ อาหารกุ้ง ประมาณ 40-50% ของการปล่อยก๊าซเกิดจากวัตถุดิบในอาหาร เช่น ถั่วเหลือง ที่อาจมาจากแหล่งที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า และการใช้พลังงานในฟาร์ม คิดเป็นประมาณ 50-60% ของการปล่อยก๊าซ การใช้ไฟฟ้ามหาศาลสำหรับมอเตอร์ใบพัดตีน้ำเพื่อเติมออกซิเจน ถือเป็นต้นทุนและแหล่งปล่อยคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุด
ด้วยเหตุนี้ โครงการ “กุ้งคาร์บอนต่ำ” ซึ่งไทยยูเนี่ยนริเริ่มพัฒนาร่วมกับพันธมิตรอย่าง The Nature Conservancy (TNC) และ Bain & Company จึงตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25-35% ผ่านแนวทางแก้ปัญหาที่ตรงจุด ได้แก่ ด้านอาหารที่ไม่ใช่การเปลี่ยนสูตรอาหาร แต่เป็นการเปลี่ยนแหล่งที่มาของวัตถุดิบ โดยเฉพาะถั่วเหลือง เพื่อให้มั่นใจ 100% ว่าไม่ได้มาจากพื้นที่บุกรุกป่าแอมะซอนในบราซิลหรืออาร์เจนตินา และด้านการจัดการฟาร์ม ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ครอบคลุมการใช้งานในช่วงกลางวันมากกว่า 80% และเพื่อทลายกำแพงด้านเงินลงทุน ไทยยูเนี่ยนได้จับมือกับบริษัท เชลล์เอ็นจี นำเสนอโซลูชัน สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ซึ่งเกษตรกรไม่ต้องลงทุนเองแม้แต่บาทเดียว แต่สามารถลดค่าไฟได้ทันที 10% แลกกับการทำสัญญาระยะยาว 10 ปี
“เราเข้าใจว่าเกษตรกรอาจไม่มีกำลังใจจะลงทุนหนัก ๆ ในช่วงที่อุตสาหกรรมซบเซา แต่เราหวังว่าโครงการนี้จะเป็นเหมือนการเติมพลังให้เกษตรกรและอุตสาหกรรมกุ้งไทยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง”
ภาครัฐ–กรมประมงขานรับนโยบายสร้างมาตรฐานใหม่
ฟากของภาครัฐไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่เป็นผู้เล่นสำคัญที่ลงมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มตัว มนทกานติ ท้ามติ้น ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง ยืนยันว่า นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ถูกนำมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดของอุตสาหกรรมกุ้งโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูง ปัญหาโรคระบาดที่รุนแรงขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และภาวะขาดสภาพคล่องของเกษตรกร
เพื่อพลิกโฉมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้กลับมาแข่งขันได้ กรมประมงได้ผลักดันแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีโครงการสำคัญคือ Nature-based Solution (NBS) หรือการแก้ปัญหาโดยใช้ฐานธรรมชาตินำ ซึ่งประเทศไทยได้รับเลือกจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง FAO และ NACA ให้เป็นประเทศนำร่องร่วมกับฟิลิปปินส์และฟิจิ โดย NBS ครอบคลุมนวัตกรรมหลากหลาย อาทิ เทคโนโลยีควบคุม เช่น ระบบ DO Controller เพื่อควบคุมการให้ออกซิเจนอย่างเหมาะสม ช่วยลดการใช้พลังงาน พลังงานสะอาดที่ส่งเสริมการใช้ โซลาร์เซลล์ ในฟาร์มอย่างแพร่หลาย รวมถึงนวัตกรรมชีวภาพ ที่มีการใช้นาโนบับเบิ้ลเพื่อบำบัดน้ำและลดการใช้สารเคมี หรือการวิจัยโปรตีนทางเลือกจากแมลงและพืชเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในอาหารสัตว์ และการเพาะเลี้ยงแบบผสมผสาน เช่น การเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่ต้องให้อาหารและช่วยปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่าง ปลิงทะเล สาหร่าย และหอยชนิดต่าง ๆ
โครงการที่ถือเป็นหัวใจสำคัญและสอดรับกับภาคเอกชนโดยตรง คือ โครงการนำร่องกุ้งคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Shrimp Pilot Project) ที่ทำร่วมกับ FAO
“ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานในการผลิตกุ้งสูงถึงประมาณ 23 บาทต่อกิโลกรัม และในภาพรวมทั้งประเทศ เราจ่ายค่าไฟเพื่อการเลี้ยงกุ้งปีละกว่า 8,000 ล้านบาท”
ด้วยเหตุนี้ โครงการจึงมุ่งเป้าไปที่การสร้างระบบการรับรอง (Certification) กุ้งคาร์บอนต่ำ ฉบับแรกของประเทศไทยขึ้นมา โดยได้เริ่มดำเนินโครงการนำร่องใน 2 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทราและจันทบุรี จังหวัดละ 15 ฟาร์ม ควบคู่ไปกับการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่และเกษตรกร ซึ่งความเคลื่อนไหวจากภาครัฐนี้ ไม่เพียงเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานใหม่ให้กับประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมและเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมกับโครงการของภาคเอกชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
เสียงจากฟาร์ม: “ความยั่งยืนไม่ใช่ภาระแต่คือกำไรของทุกคน“
พลชาติ เหลืองนฤมิตรชัย เจ้าของอนันต์ฟาร์ม ในฐานะตัวแทนเกษตรกรยุคใหม่ ได้ให้มุมมองที่เชื่อมโยงนโยบายระดับมหภาคเข้ากับความเป็นจริงในระดับฟาร์ม โดยเริ่มต้นด้วยการพาย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของวิกฤติ
“ผู้จัดการฟาร์มพูดกันมาเป็น 10 ปีแล้วว่า สมัยที่เราผลิตกุ้งได้ปีละ 600,000 ตัน เราอาจปล่อยของเสียลงอ่าวไทยปีละนับล้านตัน การกลับมาของโรคต่าง ๆ ทำให้เราตระหนักว่าจะทำธุรกิจแบบเดิมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”
การตระหนักรู้นี้เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เขาเปิดรับแนวคิดเรื่องฟาร์มคาร์บอนต่ำ ที่ได้แรงบันดาลใจจากไทยยูเนี่ยนอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยืนยันว่าเขาเดินมาถูกทาง คือตัวเลขที่จับต้องได้ ด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความยั่งยืนสร้างกำไรได้อย่างไร
“ฟาร์มเราจ่ายค่าไฟเดือนละประมาณ 400,000 บาท การติดตั้งโซลาร์เซลล์ช่วยประหยัดได้ทันที 40,000 บาทต่อเดือน ตัวเลข 10% นี้อาจดูไม่เยอะ แต่สำหรับเกษตรกรที่มีกำไรเฉลี่ยไม่เกิน 20% นั้น ต้นทุนที่ลดลง 10% มันมีความหมายเท่ากับกำไรใหม่ที่เพิ่มขึ้นถึง 50%”
นี่คือบทพิสูจน์ว่าการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ต้นทุนที่จมหาย แต่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโดยตรง
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้เสนอวิสัยทัศน์ที่ต้องการยกระดับเกษตรกรไทยจากผู้ผลิตไปสู่การเป็น Business Partner ของอุตสาหกรรม และพลิกโฉมสินค้ากุ้งไทยให้ก้าวไปสู่ตลาด Wellness
“เราจะทำอย่างไรให้กุ้งไทยเป็นเหมือน ‘กุ้งวากิว’ ที่คนทั่วโลกต้องการและยอมต่อคิวซื้อ? เราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็น Negative Carbon และเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ New Longevity ได้” พลชาติกล่าว
พร้อมเรียกร้องการสนับสนุนที่ตรงจุดเพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริง ได้แก่ การเข้าถึงมาตรฐาน ที่ทำให้มาตรฐานสากลอย่าง ASC (Aquaculture Stewardship Council) เป็นเรื่องง่ายและครอบคลุมสำหรับเกษตรกรทุกขนาด การเข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน ที่สนับสนุนการเข้าถึงโซลาร์เซลล์และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ โดยอาจมีโมเดลทางการเงินใหม่ๆ ที่ไม่ต้องใช้ที่ดินค้ำประกันเหมือนในอดีต และการเข้าถึงองค์ความรู้ ที่สร้างแพลตฟอร์มกลางเพื่อแบ่งปันข้อมูลการเลี้ยง (Open Knowledge) โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง IoT และ AI เข้ามาช่วย เพื่อทลายกำแพง “สูตรใครสูตรมัน” และยกระดับประสิทธิภาพของทั้งอุตสาหกรรมไปพร้อมกัน
ADB กับกลไก “Blue Finance” เครื่องมือปลดล็อกศักยภาพ
การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดเครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะ ฝนทิพย์ ยุทธเสรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (ที่ปรึกษา) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่า Climate Change สร้างทั้งความเสี่ยง (โรคระบาด, น้ำท่วม, น้ำแล้ง) และโอกาส (ตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ) ให้กับเกษตรกร การเงินเพื่อความยั่งยืน หรือ Blue Finance จึงเป็นกลไกสำคัญที่เข้ามาปลดล็อกศักยภาพนี้
ADB ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนา ได้ริเริ่มแผนปฏิบัติการเพื่อมหาสมุทรที่สมบูรณ์แข็งแรง (Action Plan for Healthy Oceans) โดยตั้งเป้าลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ทั่วเอเชียและแปซิฟิกถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโครงการที่ทำร่วมกับไทยยูเนี่ยนถือเป็น “Blue Loan” สำหรับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทยเป็นครั้งแรก โดยมีกระบวนการทำงานที่รัดกุมและโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น
การสร้างกรอบการระดมทุนที่น่าเชื่อถือ (Credible Framework) ADB ไม่ได้เพียงอนุมัติเงินกู้ แต่ได้ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค (Technical Support) แก่ไทยยูเนี่ยนในการจัดทำกรอบการระดมทุนสีฟ้าและสีเขียว (Blue and Green Finance Framework) ซึ่งกรอบนี้ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น Green Bond Principles และ Green Loan Principles ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินทุนจะถูกนำไปใช้ในโครงการที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมจริง
การอ้างอิงมาตรฐานระดับประเทศ (Alignment with Thailand Taxonomy) เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในบริบทของไทย กรอบการระดมทุนนี้ได้ถูกทำให้สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy ซึ่งเป็นมาตรฐานการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ การที่โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยยูเนี่ยนเข้าเกณฑ์ของ Taxonomy ไม่เพียงเพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังตลาดทุนและสถาบันการเงินอื่นๆ ว่านี่คือกิจกรรม “สีเขียว” ที่ผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานของประเทศแล้ว
การให้ความสำคัญกับมิติทางสังคม (Social Safeguards) ฝนทิพย์เน้นย้ำว่า ความยั่งยืนไม่ได้มองแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ต้องครอบคลุมถึงมิติทางสังคมด้วย
“เราพยายามที่จะไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องอากาศอย่างเดียว…เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรก็เป็นเรื่องที่สำคัญ”
ดังนั้น มาตรฐานอย่าง Thailand Taxonomy จึงมีหลักการคุ้มครองทางสังคมขั้นต่ำ (Minimum Social Safeguards) กำกับไว้ด้วยเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการที่ได้รับเงินทุนจะต้องดูแลสิทธิแรงงานและไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนโดยรอบ
ฝนทิพย์ ทิ้งท้ายถึงหัวใจของความสำเร็จในการปลดล็อกเงินทุนเพื่อความยั่งยืนไว้เป็นสูตรสำเร็จ “TU” คือ T – Transparency ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล การติดตาม และการรายงานผลกระทบที่เกิดขึ้น และ U – Underserved Groups การมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือไปถึงกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงโอกาส เช่น เกษตรกรรายย่อย หรือการส่งเสริมบทบาทของเกษตรกรสตรี
ดังนั้น Blue Finance ในมือของ ADB จึงเป็นมากกว่าแค่เงินกู้ แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมาตรฐาน ยกระดับความน่าเชื่อถือ และทำให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนนั้นจะเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) เพื่อความสำเร็จร่วมกัน
ยงยุทธิ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มฯ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า การสร้างระบบนิเวศนี้ คือการยอมรับว่าไม่มีใครสามารถเป็น One Man Show ได้อีกต่อไป แต่ทุกภาคส่วนคือฟันเฟืองที่ต้องทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว
ไทยยูเนี่ยในฐานะภาคเอกชนทำหน้าที่เป็น ผู้ขับเคลื่อน (Driver) ที่ตั้งเป้าหมายใหญ่ (Net Zero Scope 3) และสร้างโมเดลนำร่องที่จับต้องได้ เช่น โครงการกุ้งคาร์บอนต่ำและโซลูชัน PPA เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าความยั่งยืนสามารถสร้างกำไรได้จริง
กรมประมงในฐานะภาครัฐทำหน้าที่เป็น ผู้วางรากฐาน (Enabler) ผ่านการออกนโยบายที่สนับสนุน สร้างมาตรฐานกลางของประเทศ (Certification) และส่งเสริมองค์ความรู้และนวัตกรรม (NBS) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมทั้งระบบ
สถาบันการเงิน (ADB) ทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนที่ไม่ได้ให้แค่เงินทุน แต่ยังนำเสนอเครื่องมือทางการเงินที่น่าเชื่อถือ (Blue Finance) และช่วยสร้าง “ภาษาเดียวกัน” ผ่านการอ้างอิงมาตรฐานอย่าง Thailand Taxonomy เพื่อปลดล็อกให้เงินทุนไหลเข้าสู่โครงการสีเขียวได้ง่ายขึ้น
เกษตรกร (อนันต์ฟาร์ม) คือหัวใจและพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในสนามจริง เป็นผู้ลงมือปฏิบัติ พิสูจน์แนวคิด และสะท้อนปัญหากลับมาเพื่อพัฒนากระบวนการให้ดียิ่งขึ้น
“เราไม่ได้กำลังพูดถึงแค่การเปลี่ยนแปลง แต่เรากำลังพูดถึงการสร้าง Ecosystem ที่จะเอื้อให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม การสร้าง Ecosystem นี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับประเทศไทยและต้องอาศัยความร่วมมือในการแก้ไข
“เรายังเจอปัญหาเชิงลึกอีกมาก เช่น กฎระเบียบเรื่องการลากสายไฟโซลาร์เซลล์ผ่านที่สาธารณะยังทำไม่ได้ เทคโนโลยีแบตเตอรี่ยังมีราคาสูงเกินไปสำหรับเกษตรกร หรือการทำให้เกษตรกรรายย่อยจริง ๆ สามารถเข้าถึงแหล่งทุน Microfinance ได้อย่างไร”
การรวมตัวกันครั้งนี้จึงเป็นเพียงนิมิตหมายอันดีและเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญ เพื่อร่วมกันปรับแก้กฎระเบียบ ปลดล็อกอุปสรรค และสร้างแพลตฟอร์มที่ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างแท้จริง
เป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่แค่การลดคาร์บอน แต่คือการสร้างเรื่องเล่า (Story) บทใหม่ให้กับกุ้งไทย ที่จะเปลี่ยนอาวุธในการแข่งขันจาก “ราคา” ไปสู่ “คุณค่าและความยั่งยืน” ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะนำอุตสาหกรรมกุ้งของไทยกลับคืนสู่ตำแหน่งผู้นำในเวทีโลกได้อย่างสง่างามและมั่นคง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เปิดผลลัพธ์รูปธรรม SeaChange 2030: กลยุทธ์ความยั่งยืนจากไทยยูเนี่ยน
สร้างภูมิคุ้มกันอาเซียน จากท้องทะเลสู่ชุมชนและนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน