Share on
×

Share

เจาะลึกแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ไทยปี 2025

ภาพรวมของธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2025 อาจเปรียบได้กับการเดินเรือฝ่ามรสุม แม้จะยังคงแล่นไปข้างหน้าได้ แต่ก็เป็นการขยายตัวเพียงเล็กน้อย ท่ามกลางคลื่นลมแห่งความผันผวนที่โหมกระหน่ำจากทั่วทุกทิศทาง ทั้งจากสงครามการค้าที่ยังคงคุกรุ่นและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการขนส่งสินค้าโดยรวม ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและสร้างการเติบโต

ภาพรวมเศรษฐกิจ: ปีแห่งสองอารมณ์ที่ต้องจับตา

หากมองย้อนกลับไปในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 เราจะเห็นภาพที่ค่อนข้างสดใสอยู่บ้าง ความต้องการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของไทยขยายตัวอย่างน่าพอใจ สะท้อนจากตัวเลขที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นปริมาณตู้สินค้าที่เข้า-ออก ณ ท่าเรือแหลมฉบังที่เติบโตถึง 10.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรือปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิที่ขยายตัว 8.7% การเติบโตนี้เป็นผลพวงมาจากการเร่งส่งออก-นำเข้าที่คึกคัก โดยมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของไทยเติบโตถึง 15% และ 12% ตามลำดับ

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ “Front-loading” หรือการเร่งขนส่งสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา ก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าจากจีนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในกลุ่มวัตถุดิบเพื่อการผลิตและสินค้า E-commerce ที่หลั่งไหลเข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

อย่างไรก็ดี เมื่อหันกลับมามองภาพในประเทศ สถานการณ์กลับไม่สดใสเท่าที่ควร ความต้องการขนส่งสินค้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศยังคงชะลอตัว โดยตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสแรกเติบโตเพียง 2.6% ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าภาคครัวเรือนยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย ซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และสงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่านที่ปะทุขึ้นในเดือนมิถุนายน ซึ่งกลายเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติมต่อการขนส่งสินค้าของไทย

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี แนวโน้มดูจะเต็มไปด้วยความท้าทายยิ่งขึ้น การเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับไทยสูงถึง 19% จะส่งผลให้ความต้องการขนส่งชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกและนำเข้าตลอดทั้งปี 2025 จะเติบโตได้เพียง 3% และ 3.3% ตามลำดับ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้เพียง 2% เท่านั้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับความผันผวนของเส้นทางขนส่งและต้องจับตาสินค้าที่อาจเข้าข่ายการสวมสิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างใกล้ชิด

อัตราค่าขนส่ง: แนวโน้มขาลงท่ามกลางความไม่แน่นอน

ความผันผวนทางการค้าได้ส่งผลโดยตรงต่ออัตราค่าขนส่งในทุกโหมดการขนส่ง ซึ่งปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากผู้นำเข้าและส่งออกต่างอยู่ในภาวะ “รอดูท่าที” และชะลอการสั่งซื้อระยะยาว

ค่าขนส่งทางเรือ: แม้จะมีการปรับขึ้นชั่วคราวในเดือนมิถุนายนจากการเร่งขนส่ง (Front-loading) แต่ภาพรวมตลอดครึ่งปีแรก ค่าระวางเรือโลกลดลงถึง 11% และยังมีแนวโน้มถูกกดดันต่อเนื่องจากการทยอยเพิ่มขึ้นของปริมาณเรือใหม่ในตลาด

ค่าขนส่งทางอากาศ: ปรับตัวลดลงราว 6% แม้จะดีดตัวขึ้นชั่วคราวในเดือนพฤษภาคมก่อนที่สหรัฐฯ จะยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าขั้นต่ำ (De minimis) สำหรับสินค้าจากจีนและฮ่องกง แต่ก็คาดว่าจะยังถูกกดดันจากจำนวนเที่ยวบินที่ทยอยเพิ่มขึ้น

ค่าขนส่งทางถนน: ในประเทศปรับลดลงเล็กน้อยเพียง 1% แม้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะลดลง แต่ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศยังคงถูกพยุงไว้เพื่อชดเชยสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังติดลบอยู่กว่า 3.2 หมื่นล้านบาท

แนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี คาดว่าอัตราค่าขนส่งจะยังคงปรับตัวลดลงตามความต้องการที่อ่อนตัวลง โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบโลกเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 71 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 11% จากปีก่อนหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้รายได้รวมของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในปี 2025 คาดว่าจะขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยที่ 2.2% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 9.3 แสนล้านบาท

สมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้น

ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน สมรภูมิการแข่งขันในธุรกิจโลจิสติกส์กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีแนวรบหลัก 3 ด้านที่น่าจับตามอง:

การขยายบริการให้ครอบคลุมทั้ง Supply Chain: ผู้เล่นรายใหญ่ต่างมุ่งขยายบริการให้ครบวงจรมากขึ้น ทั้งในแง่ของรูปแบบการขนส่งและประเภทสินค้า ทำให้เกิดการบริการที่ทับซ้อนกัน และนำไปสู่สงครามราคาที่เข้มข้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การแข่งขันด้านคุณภาพและความเชี่ยวชาญ: ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นจากสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการความเสี่ยงกลายเป็นจุดขายสำคัญที่สร้างความแตกต่างให้กับผู้ให้บริการ

ตลาดจัดส่งพัสดุยังคงเป็น Red Ocean: ธุรกิจจัดส่งพัสดุยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในด้านราคาและคุณภาพบริการ และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอีก เมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เริ่มแสดงความสนใจที่จะกระโดดเข้ามาในตลาดนี้

สถานการณ์เช่นนี้จะสร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อการเติบโตของผู้ให้บริการขนส่งทางถนนและกลุ่มผู้รับจัดการขนส่งสินค้า (Freight Forwarder) โดยเฉพาะกลุ่มผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่อาจถึงขั้นเลือดสาด

ทางรอดและโอกาส: Green Logistics และ LogTech คืออนาคต

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีสองเมกะเทรนด์สำคัญที่เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ และเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้อง “กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง” เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นั่นคือ Green Logistics และ Logistics Technology (LogTech)

Green Logistics: กระแสรักษ์โลกกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นและแผนการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของภาคธุรกิจ ทำให้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในไทยเริ่มหันมาให้บริการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือสัดส่วนการใช้รถบรรทุกไฟฟ้าที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวและหาโซลูชันที่เหมาะสม

Logistics Technology (LogTech): เทคโนโลยีจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพและลดต้นทุนการบริหารจัดการ ตั้งแต่การนำ AI มาใช้ในการจัดการซัพพลายเชน, การพัฒนา แพลตฟอร์มการรับ-จัดส่งสินค้า ที่สะดวกและรวดเร็ว, การสร้างระบบ ติดตามและสร้างความโปร่งใส ตลอดเส้นทาง ไปจนถึง คลังสินค้าอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ที่ช่วยลดความผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน

สำหรับผู้ประกอบการแล้ว การปรับตัวให้ทันต่อสองเทรนด์นี้ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นหนทางสู่การอยู่รอด การเริ่มต้นให้บริการ Green Logistics ในเส้นทางที่เหมาะสมกับเทคโนโลยีปัจจุบัน หรือการทยอยลงทุนใน LogTech ตามความจำเป็น จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบและนำพาธุรกิจให้สามารถฝ่าคลื่นลมแห่งความผันผวนในปี 2025 ไปได้อย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

GULF-AIS เปิดตัว ‘G-AIS’ บริษัทร่วมทุนใหม่ รุกธุรกิจคลาวด์-ดิจิทัล

JustCo Way: เมื่อ‘ความน่าเบื่อ’ และ ‘ข้อมูล’ คือสูตรลับสู่กำไรในสมรภูมิ Flexible Office

×

Share

ผู้เขียน