Share on
×

Share

ส่องวิสัยทัศน์ AI และความยั่งยืนจาก TCP และ Microsoft

ท่ามกลางยุคสมัยที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งการปฏิวัติของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และกระแสความยั่งยืนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของโลก การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป องค์กรที่สามารถปรับตัวและมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เท่านั้นที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคง บนเวทีเสวนาที่น่าจับตามอง สองผู้นำจากสองขั้วอุตสาหกรรม ระหว่างกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มระดับโลก (TCP Group) และยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Microsoft) ได้มาร่วมเผยวิสัยทัศน์และแบ่งปันกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม

เวทีเสวนา Beyond Business as Usual – New Strategies for Sustianable Growth ในงาน TCP Sustianability Forum 2025 จะพาไปเจาะลึกวิธีคิด กลยุทธ์ และมุมมองของ สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP และ ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อค้นหาคำตอบว่า เราจะก้าวข้ามธุรกิจแบบเดิมไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จในอนาคตได้อย่างไร

สัญญาณเตือนภัย: เมื่อโลกบังคับให้เราต้อง Rebalancing

“ปีนี้เป็นปีที่หนักหน่วง” คือคำที่สราวุฒิใช้อธิบายภาพรวมของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนความรู้สึกของผู้นำองค์กรจำนวนมากได้อย่างชัดเจน โลกกำลังเผชิญกับพายุที่สมบูรณ์แบบ (The Perfect Storm) ที่วิกฤติหลายด้านประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากวิกฤติโควิด ที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคไปอย่างถาวร สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวพร้อมกันทั่วทุกมุมโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้างความไม่แน่นอน ไปจนถึงคลื่นการปฏิวัติทางเทคโนโลยีอย่าง AI ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การแข่งขันทั้งหมด

สราวุฒิชี้ว่า ความสำเร็จในอดีตที่เคยสวยหรูนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในสมรภูมิปัจจุบัน แผนธุรกิจระยะยาว 5 ปีที่เคยเป็นเหมือนคัมภีร์นำทาง บัดนี้กลับใช้การไม่ได้อีกต่อไป เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าจะคาดเดาได้

ท่ามกลางความผันผวนนี้ ทางรอดเดียวไม่ใช่การปรับตัวเล็ก ๆ น้อยๆ แต่คือการ Rebalancing หรือการปรับสมดุลครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นมากกว่าการปรับกลยุทธ์ แต่คือการรื้อสร้างวิธีคิดทั้งหมด โดยต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่า:

อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ณ ตอนนี้?

อะไรคือสิ่งที่เคยคิดว่าจะทำ แต่ตอนนี้อาจไม่จำเป็นแล้ว?

อะไรคือสิ่งที่ควรเลิกทำได้แล้ว?

และที่สำคัญที่สุด อะไรคือสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ แต่สถานการณ์บังคับให้ต้องทำเพื่อความอยู่รอดและเติบโต?

กระบวนการ Rebalancing นี้ยังครอบคลุมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในทุกมิติ ไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่หมายถึงการเปลี่ยนกระบวนการทำงาน วิธีคิด และวิธีการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านช่องทางใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังชัดเจนว่า โลกธุรกิจได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และองค์กรใดที่ไม่ยอมปรับสมดุลของตัวเอง ก็อาจเสี่ยงต่อการถูกคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงซัดหายไปในที่สุด

คลื่นปฏิวัติ AI: ไม่ต้องกลัว AI มาแทนเราแต่จงกลัวคนที่ใช้ AI เป็น

ในขณะที่หลายองค์กรยังคงตั้งรับและมอง AI เป็นเพียงอีกหนึ่งเครื่องมือทางเทคโนโลยี ธนวัฒน์กลับมองว่า AI คือคลื่นสึนามิแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ทรงพลังที่สุด เขากล่าวว่า หากเราไม่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงได้ เราจะเป็นผู้ที่ถูกเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเรานำการเปลี่ยนแปลงได้ โอกาสนั้นมหาศาล และตอกย้ำด้วยประโยคที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของยุคนี้ว่า ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแทนเรา แต่สิ่งที่น่ากลัวคือคนทีใช้ AI เป็นจะมาแทนเรา

นี่คือการเปลี่ยนมุมมองจากการหวาดกลัวเทคโนโลยี ไปสู่ความตระหนักถึงช่องว่างทางทักษะ (Skill Gap) ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ธนวัฒน์ชี้ว่า AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพ (Empowerment) ที่จะปฏิวัติโลกธุรกิจใน 4 มิติสำคัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน:

  1. สร้างกองทัพผู้ช่วยอัจฉริยะ (AI Agent): เขายกตัวอย่างที่จับต้องได้ว่า ทุกวันนี้เราสามารถสร้าง AI Agent ให้เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการสั่งให้ AI ตามข่าวทีมฟุตบอลโปรดจาก 5 เว็บไซต์ทุกวัน หรือในเชิงธุรกิจที่สามารถสั่งให้ AI ติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทคู่แข่งและสรุปรายงานให้โดยอัตโนมัติ นั่นคือการมอบทีมงานดิจิทัลที่ไม่เคยเหนื่อยล้าให้กับพนักงานทุกคน
  2. พลิกโฉมประสบการณ์ลูกค้าสู่ขั้นสุด: AI ทำให้การสร้างประสบการณ์แบบ Personalized ก้าวไปถึงจุดที่เรารู้จักลูกค้าดียิ่งกว่าที่ลูกค้ารู้จักตัวเอง ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล ทำให้สามารถนำเสนอสินค้า บริการ และสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ตรงใจและเกินความคาดหวัง
  3. ไม่ใช่แค่ทำงานอัตโนมัติ แต่คือปฏิวัติกระบวนการ: ธนวัฒน์เน้นย้ำความแตกต่างระหว่าง Automate และ Transform เขามองว่า AI จะก้าวข้ามการทำงานซ้ำ ๆ แบบอัตโนมัติ ไปสู่การปฏิรูปกระบวนการทั้งหมด โดยให้ AI Agent สื่อสารและทำงานร่วมกันเอง (AI talk to AI) เพื่อออกแบบ workflow ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างที่มนุษย์อาจไม่เคยจินตนาการถึง
  4. ปลดล็อกนวัตกรรมที่ไร้ขีดจำกัด: ในอดีตการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อาจใช้เวลาเป็นปี แต่ด้วย AI องค์กรสามารถย่นระยะเวลาเหลือเพียงหลักเดือนหรือสัปดาห์ สามารถจำลองและทดสอบแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ กับโปรไฟล์ลูกค้าทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ทลายกำแพงด้านเวลาและต้นทุนในการสร้างนวัตกรรม

เพื่อพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ธนวัฒน์ได้ยกกรณีศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งต้องเผชิญโจทย์สุดท้าทายในการเทียบเคียงกฎหมายไทยกว่า 7,000 ฉบับ (ภาษาไทย) กับข้อบังคับของ OECD 276 ฉบับ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งโดยปกติอาจต้องใช้เวลา 5-7 ปี แต่ด้วยการนำ AI เข้ามาช่วย โครงการมหึมานี้กลับสำเร็จได้ภายในเวลาเพียง 6 เดือน “นี่คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าขีดจำกัดเดียวของการใช้ AI ในวันนี้คือจินตนาการของเราเอง”

หัวใจสำคัญที่ Microsoft ยึดถือคือการเปลี่ยนบทบาทจากโรงงานผลิตซอฟต์แวร์ (Software Factory) มาสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ทุกองค์กรกลายเป็นโรงงานผลิตซอฟต์แวร์ได้ด้วยตัวเอง ผ่านเครื่องมือ AI ที่ใช้งานง่าย และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง Microsoft ได้ริเริ่มโครงการ AI Skills for the New Era เพื่ออัปสกิลให้คนไทยฟรี ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามโดยมีผู้เรียนแล้วกว่า 1.5 ล้านคน ตอกย้ำว่าคลื่นปฏิวัติ AI ลูกนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นของทุกคนที่พร้อมจะเรียนรู้และก้าวไปข้างหน้า

กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน: เมื่อมนุษย์และเทคโนโลยีต้องเดินไปด้วยกัน

ในขณะที่โลกเทคโนโลยีกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง TCP Group กลับเลือกที่จะตอกย้ำจุดยืนที่แตกต่างแต่ทรงพลัง สราวุฒิ กล่าวว่า TCP มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ และคิดว่าจากนี้ไปอีก 10-20 ปี เทคโนโลยีกับมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกัน วิสัยทัศน์นี้ไม่ได้ปฏิเสธความสำคัญของเทคโนโลยี แต่เป็นการวางมนุษย์ไว้ที่ศูนย์กลางและมองว่าเทคโนโลยีคือเครื่องมือที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพของมนุษย์ให้ก้าวไปได้ไกลขึ้น

กลยุทธ์ของ TCP Group เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนจึงถูกออกแบบมาบน 3 เสาหลักที่สะท้อนปรัชญานี้อย่างชัดเจน:

  1. Growth Diversification (การเติบโตผ่านความหลากหลาย): วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ทรุดตัวลงพร้อมกันเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนว่า การกระจายความเสี่ยงไปสู่ตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป TCP จึงต้องเดินหน้าสร้างความหลากหลายให้มากขึ้น ทั้งในมิติของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ นอกเหนือจากเครื่องดื่ม และการขยายตลาดในเชิงลึก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งต่อความผันผวนในอนาคต
  2. Operational Efficiency (ประสิทธิภาพที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของคน): สำหรับ TCP ประสิทธิภาพไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขในสายการผลิตเท่านั้น แต่คือประสิทธิภาพของจิตวิญญาณและทีมเวิร์ค ซึ่งสะท้อนผ่านกิจกรรมที่ TCP เข้าไปสนับสนุน

    งานวิ่ง 14th Red Bull Desert Adventure ที่ประเทศจีน การแข่งขันวิ่ง 3 วันในทะเลทรายเทงเกอร์ (Tengger Desert) เขตปกครองมองโกเลีย ซึ่งผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนต้องเผชิญกับเส้นทางสุดโหดบนเนินทรายที่ร้อนระอุ นี่ไม่ใช่แค่กิจกรรมการตลาด แต่คือการบ่มเพาะวัฒนธรรมแห่งความมุ่งมั่น การทำงานเป็นทีม การอดทนต่อความยากลำบาก และการเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกัน ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของบุคลากรในยุคใหม่

    สนามสเก็ตบอร์ด Red Bull Skate Park ตั้งอยู่ที่ศูนย์กีฬาเบญจกิติ การร่วมมือสร้างสเก็ตพาร์คที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยเปิดให้ใช้บริการฟรี คือตัวอย่างของการทำธุรกิจที่ก้าวข้ามการโฆษณาไปสู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคม (SDG) เป็นการสร้างพื้นที่ให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะ จนสามารถสร้างนักกีฬาทีมชาติไทยไปแข่งขันในเวทีโอลิมปิกได้สำเร็จ
  3. Sustainability Innovation (นวัตกรรมบนรากฐานของความยั่งยืน): สราวุฒิย้ำว่าความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด โดย TCP ได้นำเสนอแนวคิด EESG ที่นำ Economic (เศรษฐกิจ) มาเป็นตัว E แรก เพื่อยืนยันว่าการเติบโตทางธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (ESG) จะต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน โดยมีโครงการรูปธรรมที่ชัดเจน เช่น
  • โครงการความมั่นคงทางด้านน้ำ (Water Security) การทำงานร่วมกับชุมชนที่ราชบุรีและระยองเพื่ออนุรักษ์และจัดการแหล่งน้ำต้นทุน
  • โครงการพลิกฟื้นความหลากหลายทางชีวภาพที่สมุทรสงครามสู่เป้าหมาย OECM: โครงการนี้คือการพัฒนาพื้นที่ “ที่จังหวัดสมุทรสงคราม” บนที่ดิน 75 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิมผูกพันอยู่
  • โครงการคาร์บอนเครดิต (GS Model) โมเดลคาร์บอนเครดิตที่เชียงใหม่ เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างคาร์บอนเครดิตในภาคป่าไม้

ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนของกลยุทธ์ที่เชื่อว่า อนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยถูกนำมาใช้เพื่อส่งเสริมศักยภาพของมนุษย์ และความสำเร็จของธุรกิจถูกผูกโยงเข้ากับการเติบโตของสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างแยกไม่ออก

อนาคตในปี 2030: จากองค์กรธุรกิจสู่ Frontier Firm ของประเทศ

เมื่อมองข้ามขอบฟ้าปัจจุบันไปสู่อนาคตในปี 2030 ทั้งสองผู้นำต่างมีภาพฝันที่ชัดเจนและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ธนวัฒน์ กล่าวว่า อยากเห็นประเทศไทยกลายเป็น Frontier Country และบริษัทไทยได้ยกระดับเป็น Frontier Firm ที่ใช้ AI สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและแข่งขันได้ในระดับโลก โดยมีคนไทยเป็น Power User ที่ใช้เทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่วและสร้างสรรค์

ในขณะที่ สราวุฒิ กล่าวว่า ฝันถึงองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยสปิริตของทีมเวิร์คที่แข็งแกร่ง เปี่ยมด้วยพลังใจที่พร้อมเผชิญทุกอุปสรรคและเฉลิมฉลองความสำเร็จร่วมกัน ดั่งภาพของนักวิ่งในทะเลทรายหรือทีมพิทสต็อปของรถแข่ง F1 ที่ทุกคนทำงานสอดประสานกันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนเคลื่อนที่ไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้อย่างรวดเร็วและทรงพลัง

ท้ายที่สุดแล้ว แม้จะมาจากคนละอุตสาหกรรม แต่บทสรุปของทั้งสองผู้นำกลับสอดคล้องกัน นั่นคือการก้าวข้ามวิกฤติไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนได้นั้น ต้องอาศัยทั้งนวัตกรรมที่จะสร้างความแตกต่างและความยั่งยืน (Sustainability) ที่เป็นรากฐานสำคัญของการอยู่รอด เพราะในโลกยุคใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป การสร้างสรรค์สิ่งใหม่โดยไม่ทำลายสิ่งเก่าและการเติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม คือหนทางเดียวที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรุงศรี คอนซูมเมอร์เผย ผู้บริโภครัดเข็มขัด-ลดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ดันตลาดบัตรเครดิตหดตัวในรอบ 26 ปี

NECTEC-จุฬาฯ-ETDA เปิดตัว ‘AITH’ ปั้น AI สัญชาติไทยสู่เวทีโลก

‘Energy Symphonics’ กลยุทธ์บ้านปู รับมืออนาคตพลังงานยุค AI

×

Share

ผู้เขียน