Share on
×

Share

Energy Transition ไทย: โอกาสและความท้าทายในแผนพลังงานชาติฉบับใหม่

โลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 เพื่อรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สำหรับประเทศไทย การเดินทางครั้งนี้คือการวางรากฐานอนาคตทางพลังงานของประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายที่ซับซ้อน

The Energy Trilemma: สามเหลี่ยมสมดุลที่ต้องประคอง

จตุพร วานิชสุขสมบัติ ผู้อำนวยการธุรกิจโพรเซส ออโตเมชัน บริษัท เอบีบี ออโตเมชั่นประเทศไทย จำกัด อธิบายว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกประเทศต้องเผชิญกับ “สามเหลี่ยมสมดุลพลังงาน” (Energy Trilemma) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ 3 ปัจจัยหลักที่ต้องสมดุลไปพร้อมกัน ปัจจัยเหล่านี้คือ ความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการใช้พลังงานสะอาด ความมั่นคง (Security) ของระบบไฟฟ้า และ ราคาที่เข้าถึงได้ (Affordability) สำหรับผู้ใช้ทุกคน

การให้น้ำหนักกับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อปัจจัยอื่นเสมอ หากมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนเพียงอย่างเดียวโดยการเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดทั้งหมดในทันที อาจกระทบต่อด้านราคาอย่างรุนแรง

“ถ้าค่าไฟจากที่เราเคยจ่ายหน่วยละ 12 บาท ไปเป็นหน่วยละ 30 บาท ทุกคนพร้อมไหม คนในกรุงเทพฯ อาจจะพร้อม แต่คนต่างจังหวัดหลายคนก็จะไม่พร้อม”

ในทางกลับกัน หากเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านเร็วเกินไป เช่น ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติทั้งหมดโดยที่พลังงานหมุนเวียนยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ก็อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าได้

“สำหรับบ้านเรา ถ้าไฟดับแค่ 1-2 ชั่วโมงเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว ซึ่งแตกต่างจากบางประเทศที่ยังต้องมีการสลับกันจ่ายไฟ หรือโหลดเชดดิ้ง (Load Shedding) เป็นเรื่องปกติ”

โจทย์นี้จึงมีความท้าทายแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคของโลก ประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปและอเมริกาอาจให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้เต็มที่ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียยังต้องประคองทั้งสามด้านไปพร้อมกัน ส่วนประเทศในโลกที่สามบางแห่งอาจต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงและราคาเป็นอันดับแรก ดังนั้น การวางนโยบายพลังงานจึงต้องเข้าใจบริบทที่ซับซ้อนและต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

แผนพลังงานชาติ (PDP) และเป้าหมายสู่อนาคต

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ได้วางเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2580 (ค.ศ.2037) ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล อันเนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมือง และการมาถึงของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น Data Center ทำให้จำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตติดตั้งรวมจาก 54 กิกะวัตต์ในปัจจุบัน เป็น 112 กิกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว

หัวใจสำคัญของแผน คือการปรับเปลี่ยนสัดส่วนเชื้อเพลิงขนานใหญ่ โดยตั้งเป้าให้พลังงานหมุนเวียนซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 21% เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 51% ของกำลังผลิตทั้งหมด ขณะที่ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ 57% จะปรับลดสัดส่วนลงเหลือ 41% เพื่อทำหน้าที่เป็นเชื้อเพลิงในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ช่วยรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า

สำหรับพลังงานหมุนเวียนในไทยจะเน้นไปที่พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งนโยบายสนับสนุนโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) ถือเป็นทิศทางที่ดีและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีพลังงานน้ำจากเขื่อนที่มีอยู่เดิมซึ่งไม่สามารถสร้างเพิ่มได้ และพลังงานลมที่มีศักยภาพจำกัดในบางพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีการศึกษาเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างพลังงานไฮโดรเจนและเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ไว้เป็นทางเลือกในระยะยาว

ผลสำรวจชี้: ศักยภาพและความท้าทายของไทย

จากการสำรวจความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโดย ABB ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นหมุดหมายในการวัดความก้าวหน้า แอนเดอร์ มัลทีเซ็น ประธานฝ่ายอุตสาหกรรมพลังงานของเอบีบีในภูมิภาคเอเชีย ชี้ให้เห็นภาพสองด้านที่ชัดเจนของประเทศไทย คือศักยภาพที่แข็งแกร่งและความท้าทายที่ต้องเร่งจัดการ

ในด้านศักยภาพ ประเทศไทยมีความมุ่งมั่น โดย 80% ของผู้นำด้านการใช้พลังงานของไทยกล่าวว่า แผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของตนยังคงเดินหน้า แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกก็ตาม

แรงขับเคลื่อนนี้เกิดขึ้นอย่างจริงจังในวงกว้าง โดยผู้ตอบแบบสำรวจถึง 77% คาดว่าจะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนมากกว่า 20% ภายใน 5 ปีข้างหน้า และที่สำคัญ 74% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจได้จัดสรรเงินมากกว่า 10% ของค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโดยเฉพาะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งผลสำรวจได้สะท้อนถึงความท้าทายสำคัญในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยพบว่า 61% ขององค์กรในไทยยังไม่มีเป้าหมาย Net Zero ที่ชัดเจน และ 42% ยังขาดแผนงานด้านความยั่งยืน ซึ่งบ่งชี้ถึงช่องว่างและความลังเลใจในระดับองค์กร นอกจากนี้ ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทางก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการเร่งพัฒนาและสร้างคนให้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรม

เทคโนโลยี AI: เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูลคือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านนี้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเปลี่ยนรูปแบบการควบคุมที่เคยอาศัยประสบการณ์ของคนไปสู่การใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยและที่อื่น ๆ

ตัวอย่างการใช้ AI เพื่อควบคุมกระบวนการผลิต ที่โรงไฟฟ้าของ IRPC ในจังหวัดระยอง มีการนำข้อมูลมาให้ AI วิเคราะห์และส่งคำสั่งไปยังระบบควบคุมโดยตรง (Controller) เพื่อปรับจูนกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผลลัพธ์คือสามารถลดความผันผวนของแรงดันไอน้ำได้มากกว่า 50% และประหยัดพลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ จนลูกค้าพึงพอใจและกลายเป็นผู้บอกต่อถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ด้วยตนเอง

ตัวอย่างการใช้ AI เพื่อการบริหารจัดการต้นทุนไฟฟ้า กฟผ. (EGAT) ได้นำโซลูชันดิจิทัลและ AI มาใช้ในโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริด เพื่อบริหารจัดการการดึงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ทั้งโซลาร์เซลล์, พลังน้ำจากเขื่อน และแบตเตอรี่ ระบบ AI จะคำนวณและเลือกจ่ายไฟจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้กฟผ. ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรงโดยช่วยให้ค่า Ft และค่าไฟฟ้าโดยรวมไม่สูงเกินความจำเป็น

ในโรงงานผลิตไบโอพลาสติกแห่งหนึ่ง ช่วงแรกที่นำ AI มาใช้ พนักงานมีความกังวลและกลัวว่าจะตกงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับพบว่า AI ช่วยให้การทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมที่ดีขึ้น ลดของเสีย (waste) และเพิ่มความน่าเชื่อถือของโรงงาน จนกลายเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการทำงานประจำวัน

กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วและพิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งในแง่ของการประหยัดพลังงาน ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ความร่วมมือคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

ความร่วมมือ คือแนวทางที่รวดเร็วและสำคัญที่สุดในการเร่งให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานประสบความสำเร็จ เนื่องจากความท้าทายนี้มีความซับซ้อนเกินกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขได้เพียงลำพัง ความร่วมมือที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทุกมิติ ตั้งแต่ระดับประเทศ อุตสาหกรรม ไปจนถึงระดับบุคคล

ในระดับมหภาคคือความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ป้องกันไม่ให้โรงงานที่สร้างมลพิษย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่กฎระเบียบไม่เข้มงวด นอกจากนี้ ยังรวมถึงการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้วางนโยบาย ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างสมดุลและขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน

ตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระดับโลกที่ไทยมีส่วนร่วม คือโครงการ Dogger Bank Wind Farm ซึ่งเป็นฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยโครงสร้างหลักของสถานีไฟฟ้าสำหรับโครงการนี้ถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยที่แหลมฉบังและระยอง ด้วยฝีมือของแรงงานและวิศวกรชาวไทยกว่า 300-400 คน ก่อนจะถูกขนส่งไปติดตั้งเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับครัวเรือนในอังกฤษกว่า 6 ล้านหลังคาเรือน

สุดท้ายนี้ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาคนโยบายหรืออุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความร่วมมือจากทุกคนในสังคม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน เช่น การปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ หรือการหันมาใช้รถสาธารณะ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCB-ศิริราช พลิกระบบจ่ายเงินรัฐ ลดคาร์บอนเทียบเท่าป่า 10,000 ต้น

อนาคต AI ไทยในมือคนไทย: ‘Siam.AI’ กับภารกิจสร้างอธิปไตยทางดิจิทัล

×

Share

ผู้เขียน