เมื่อสมรภูมิอาชญากรรมออนไลน์ทวีความซับซ้อน สร้างความเสียหายมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ตัวเลขที่ไม่ได้เป็นเพียงสถิติ แต่คือเรื่องราวความทุกข์ร้อนของประชาชนที่สูญเสียเงินเก็บทั้งชีวิต และยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่มิจฉาชีพนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี Deepfake ปลอมแปลงใบหน้าและเสียงเป็นบุคคลใกล้ชิดเพื่อหลอกยืมเงิน หรือการใช้ AI สร้างข้อความหลอกลวงที่แนบเนียนจนยากจะจับผิด
เพื่อรับมือกับวิกฤตินี้ TikTok จึงผนึกกำลังกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และพันธมิตรภาครัฐ-ประชาสังคมรวม 12 หน่วยงาน ประกาศเดินหน้าโครงการ “คนไทยรู้ทัน ปีที่ 2” ต่อยอดความสำเร็จจากปีก่อนหน้า เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลให้คนไทยอย่างยั่งยืน
ความร่วมมือในปี 2025 นี้มีความแข็งแกร่งและครอบคลุมยิ่งขึ้น ด้วยแรงสนับสนุนจากพันธมิตรสำคัญ 12 หน่วยงาน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
- กลุ่มแรก มุ่งสร้างการตื่นตัวต่อภัยหลอกลวง รูปแบบใหม่ ๆ นำโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA)
- กลุ่มที่สอง เน้นเรื่องการซื้อขายออนไลน์ที่ปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบอีคอมเมิร์ซ ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) และสภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC)
- กลุ่มสุดท้าย ดูแลด้านการป้องกันการหลอกลวงด้านการเงินและการลงทุน ที่ซับซ้อนขึ้น นำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และโครงการโคแฟค (Cofact)
TikTok: จากแพลตฟอร์มสร้างสรรค์สู่เครื่องมือสร้างความปลอดภัย
TikTok มุ่งมั่นสร้างอนาคตดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องซึ่งสะท้อนจากความสำเร็จของโครงการ “คนไทยรู้ทัน” ในปีแรก ที่มีผู้สร้างสรรค์คลิปวิดีโอร่วมกิจกรรม #คนไทยรู้ทัน มากกว่า 2.5 ล้านคลิป และสร้างยอดรับชมสูงถึง 3,400 ล้านครั้ง สำหรับปีที่ 2 นี้ TikTok ไม่เพียงขยายพันธมิตรเพิ่มเป็น 12 หน่วยงาน แต่ยังยกระดับการพัฒนาเนื้อหาให้ทันสมัยและตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้มากขึ้น โดยมุ่งหวังที่จะปลูกฝังพฤติกรรมออนไลน์ใหม่ (New Online Behavior) ให้กับคนไทย ผ่านการสร้างสรรค์คอนเทนต์ภายใต้แนวคิดหลัก (Big Idea) ที่จดจำง่ายและนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงออนไลน์
เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว TikTok ได้อาศัยพลังของเครือข่ายครีเอเตอร์ชื่อดังมากกว่า 10 ราย ที่มีผู้ติดตามรวมกันหลายล้านคน อาทิ ช่อง พยาบาลอัญ (Aunnyc), Brighten_Studios, Prewery Land, 1 นาที รีวิว, และนักพากย์ตั่วเฮีย เป็นต้น มาช่วยส่งต่อสาระความรู้เชิงป้องกันในรูปแบบที่หลากหลายและเข้าใจง่าย
นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ “เอ๊ะ ถาม อ๋อ” ในรูปแบบ #Hashtag Challenge ชวนครีเอเตอร์และผู้ใช้ทั่วไปร่วมสร้างสรรค์วิดีโอไวรัลให้ความรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กันยายน 2568 โดยเนื้อหาที่มีคุณภาพและมียอดชมสูงสุดจะได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ เพื่อช่วยกระจายความรู้ไปสู่ชุมชนในวงกว้างและสร้างกระแสการตื่นตัวอย่างยั่งยืน

ชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok กล่าวว่า ภารกิจหลักของ TikTok คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ โครงการนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นอกจากการสร้างความตระหนักรู้แล้ว TikTok ยังเดินหน้าพัฒนาทักษะดิจิทัลให้คนไทยในทุกระดับ ผ่านโครงการ “Transforming learning initiative” และยังได้จับมือกับกระทรวงดิจิทัลฯ อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการมอบหลักสูตรอีคอมเมิร์ซ “TikTok Shop” เพื่อนำไปใช้สอนในศูนย์ดิจิทัลชุมชนกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ
เสียงสะท้อนจากพันธมิตร: ผนึกกำลังทุกมิติเพื่อปิดช่องโหว่ภัยออนไลน์
ความร่วมมือในครั้งนี้ได้รับเสียงตอบรับที่แข็งขันจากหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งต่างสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการยกระดับการทำงานสู่มิติใหม่ที่ครอบคลุมและทันต่อสถานการณ์
มุมมองจาก กลุ่มป้องกันและปราบปรามอาชญากากรรมทางเทคโนโลยี สะท้อนตรงกันถึงการเปลี่ยนสู่การทำงานเชิงรุก โดย พลอากาศตรีอมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) ชี้ว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับ TikTok คือการโจมตีเชิงป้องกันเพื่อรับมือภัยคุกคามแห่งอนาคต โดยเฉพาะการสอนให้ประชาชนสามารถระบุเนื้อหาที่ถูกตัดต่อด้วย AI
ขณะที่ ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้อำนวยการศูนย์ AOC เน้นย้ำว่า “ความเร็ว” คืออาวุธที่สำคัญที่สุด ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยส่งต่อข้อมูลแจ้งเตือนล่าสุดไปยังผู้ใช้ได้โดยตรง นับเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการตั้งรับสู่การป้องกันในวงกว้าง ด้าน พันตำรวจเอกเนติ วงษ์กุหลาบ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CCIB)เสริมว่า โครงการนี้คือปฏิบัติการร่วมเพื่อพลิกเกม ทำให้แพลตฟอร์มกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับอาชญากรอีกต่อไป
ในกลุ่มสร้างความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซและคุ้มครองผู้บริโภคนั้น ประภารัตน์ ไชยยศ จากศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ (1212 ETDA) สังกัดสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กล่าวว่า ความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและโปร่งใส เพื่อยกระดับเป็นบรรทัดฐานที่ผู้ใช้มั่นใจได้ในทุกคลิก ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ประภัทรพงศ์ ชาญชิต นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB) ที่มองว่าแคมเปญนี้จะช่วยเสริมสร้างพลังให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงสิทธิของตนเองก่อนตัดสินใจซื้อ
ขณะที่ อรัญญา เทพพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์จัดการเรื่องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ระบุว่าความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ขายทางออนไลน์นั้นปลอดภัยและไม่โฆษณาเกินจริง
ปิดท้ายด้วย สถาพร อารักษ์วทนะ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารสาธารณะและประชาสัมพันธ์ สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) ที่คาดหวังว่าโครงการจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่วัดผลได้และเกิดการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับกลุ่มป้องกันภัยด้านการเงินและการลงทุน อุบลรัตน์ จันทรังษ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) กล่าวว่า การให้ความรู้แก่ผู้ใช้หลายล้านคนคือการเสริมความแข็งแกร่งให้ “ข้อต่อแรกสุด” ของระบบนิเวศการชำระเงินดิจิทัล
อาชินี ปัทมะสุคนธ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) กล่าวเสริมว่า แคมเปญนี้จะช่วยติดอาวุธทางปัญญาให้นักลงทุนรุ่นใหม่สามารถแยกแยะการลงทุนจริงออกจากกลโกง พร้อมให้คำปรึกษาผ่านสายด่วน 1207 กด 22
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโคแฟค (Cofact) ได้ให้มุมมองว่าจะใช้ความคิดสร้างสรรค์สนับสนุนให้ครีเอเตอร์กลายเป็น “ผู้มีอิทธิพลด้านข้อเท็จจริง” เพื่อผลิตคอนเทนต์ที่ช่วยดักทางกลโกงและสอนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์แก่สังคมในวงกว้าง
MDES เปิดยุทธศาสตร์ 3 แกนหลัก: ผนึก “กฎหมาย-ปฏิบัติการ-สร้างคน” สู้ภัยไซเบอร์
ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวว่า ความน่ากังวลของสถานการณ์คือภัยออนไลน์ได้สร้างความเสียหายสูงสุดคือการหลอกให้ลงทุนซึ่งมิจฉาชีพจะสร้างความน่าเชื่อถือด้วยผลตอบแทนจอมปลอมในช่วงแรก ก่อนจะเชิดเงินลงทุนก้อนใหญ่มลายหายไปในที่สุด
เพื่อรับมือกับวิกฤติดังกล่าว รัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในหลายมิติ ประการแรกคือ การออกกฎหมายที่เข้มข้น ซึ่งรวมถึงพระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และพระราชกำหนดประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสกัดกั้นเส้นทางการฟอกเงิน
ประการที่สองคือ การยกระดับศูนย์ปฏิบัติการ AOC 1441 โดยจัดตั้งเป็น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สปอท.) หรือ TACC ให้เป็นศูนย์ One-Stop Service ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการรับแจ้งเหตุและอายัดบัญชีม้าอย่างครบวงจร และประการสุดท้ายคือ การสร้างคนและชุมชนดิจิทัลที่เข้มแข็ง ผ่านโครงการ “1 อำเภอ 1 IT Man” และการขยายศูนย์ดิจิทัลชุมชนให้ครอบคลุมทุกตำบล
ความร่วมมือ คือ วัคซีนที่ดีที่สุด
การกลับมาของโครงการ “คนไทยรู้ทัน ปีที่ 2” จึงไม่ใช่เพียงแคมเปญรณรงค์ แต่คือภาพสะท้อนของการผนึกพลังครั้งสำคัญ ที่ภาครัฐทำหน้าที่วางโครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายและกลไกปฏิบัติการ ในขณะที่ภาคเอกชนอย่าง TikTok ใช้ความสามารถในการเข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาลเพื่อกระจายองค์ความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้เกิดขึ้นจริงในสังคม เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกันจากทุกฝ่าย
“เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม เราจะสามารถสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมั่นคงได้”
โดยประชาชนที่สนใจ สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยได้โดยการติดตามคอนเทนต์จากโครงการผ่านแฮชแท็กทางการ #คนไทยรู้ทัน และ #เอ๊ะถามอ๋อ บนแอปพลิเคชัน TikTok พร้อมแบ่งปันความรู้ที่ได้รับต่อไปยังบุคคลใกล้ชิด เพื่อช่วยกันสร้างเกราะป้องกันภัยไซเบอร์ให้แข็งแกร่งที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อ ‘Homerun’ เป็นมากกว่าหนังสือ: เจาะใจคนทำหนังสือ
4 ซีอีโอต่างขั้ว: เมื่อ ‘สูตรสำเร็จ’ ไม่มีอยู่จริงในสนามรบธุรกิจ