โรคหัวใจและหลอดเลือดได้กลายเป็นภัยคุกคามอันดับต้น ๆ ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก และน่ากังวลยิ่งกว่าเมื่อสถิติชี้ชัดว่า “อายุ” ไม่ใช่เกราะป้องกันอีกต่อไป จากที่เคยเป็นโรคของผู้สูงวัย ปัจจุบันกลับพบผู้ป่วยอายุน้อยลงเรื่อยๆ แม้เพียง 30 ปีก็สามารถเผชิญกับภาวะหัวใจวายได้แล้ว โรงพยาบาลวิมุตจึงได้จัดเวทีเสวนาให้ความรู้โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเจาะลึกถึงสาเหตุ ความท้าทาย พร้อมเผยนวัตกรรมการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคหัวใจที่ซับซ้อนได้อย่างครบวงจร
ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ตัวเร่งให้หัวใจป่วยก่อนวัย

นพ.สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต ให้ข้อมูลที่น่าตกใจว่า “เมื่อ 20 ปีก่อน คนที่จะเป็นโรคหัวใจมักมีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันเราพบผู้ป่วยโรคหัวใจตั้งแต่อายุ 30 ปี” สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนจากการกินอาหารปรุงเองที่บ้าน มาเป็นการกินอาหารนอกบ้านเป็นหลัก ซึ่ง นพ.สุวาณิช ชี้ให้เห็นภาพว่า “เราไปเดินห้างปัจจุบันนี้ เราเจออาหารจานเดียวไหมครับ พบน้อยมาก ๆ เราเจอแต่บุฟเฟ่ต์ เรากินแต่หมูกระทะ เรากินแต่ชาบู”
พฤติกรรมเหล่านี้ประกอบกับชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้น ความเครียดที่สะสม และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการนอนดึกเพื่อเล่นโทรศัพท์มือถือถึงตีหนึ่งตีสอง ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ปัจจัยเสี่ยงสมัยใหม่เหล่านี้ล้วนเป็นตัวเร่งให้ร่างกายเสื่อมโทรมและเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหัวใจก่อนวัยอันควรอย่างมีนัยสำคัญ
“โรคหัวใจ” ไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว: ทำความเข้าใจก่อนสาย
หลายคนเมื่อไปพบแพทย์มักบอกเพียงว่าเป็น “โรคหัวใจ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่าโรคหัวใจมีความหมายกว้างและซับซ้อนกว่านั้นมาก นพ.ศรัณย์พงศ์ ภิบาลญาติ อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ รพ.วิมุต อธิบายว่า โรคหัวใจสามารถแบ่งตามโครงสร้างและการทำงานได้หลายกลุ่มหลักๆ ที่พบบ่อยที่สุดคือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งส่งผลโดยตรงให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและทำงานได้น้อยลง นอกจากนี้ยังมี โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โดยตรง เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง และ โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ยังไม่รวมถึง โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ ที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาสสำคัญ
ดังนั้น การระบุให้ชัดเจนจึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแนวทางการรักษาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พญ.ฐานิกา วุทธชูศิลป์ อายุรแพทย์โรคหัวใจ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้ผู้ชายจะมีความเสี่ยงมากกว่า แต่ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรืออายุมากกว่า 60 ปี โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย
เทคโนโลยีวินิจฉัยที่แม่นยำ: รู้ทันความเสี่ยงก่อนเกิดเหตุ
การวินิจฉัยที่ถูกต้องคือหัวใจสำคัญของการรักษา โรงพยาบาลวิมุตจึงมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อตรวจหาความผิดปกติได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่ การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจความถี่สูง (Echocardiogram) เพื่อดูสมรรถนะการทำงานและโครงสร้างของหัวใจ การตรวจสมรรภาพหัวใจขณะออกกำลังกายหรือการเดินสายพาน (Exercise Stress Test) เพื่อตรวจหาภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ไปจนถึง เครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบพกพา สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ที่โดดเด่นคือ การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ซึ่งเป็นการตรวจที่ง่ายและให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำสูง พญ.ฐานิกา อธิบายว่า “การตรวจหาแคลเซียมหรือหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ (CT Calcium Score) เป็นการตรวจที่ง่ายมาก คนไข้ไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร ใช้เวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้น” การตรวจนี้ช่วยให้เห็นค่าไขมันหรือหินปูนที่เริ่มก่อตัวในเส้นเลือด และเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรจะเริ่มรับประทานยาลดไขมันแล้วหรือยัง นอกจากนี้ยังมีการตรวจ CTA Coronary Artery ที่สามารถบอกเปอร์เซ็นต์การตีบของเส้นเลือดหัวใจได้อย่างละเอียดและชัดเจน
นวัตกรรมการรักษาขั้นสูง: ทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่
เมื่อการวินิจฉัยชี้ชัดถึงปัญหา นพ.อัษฎายุธ พูลพิทยาธร อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคหัวใจ รพ.วิมุต ได้ฉายภาพเทคโนโลยีการรักษาขั้นสูงที่โรงพยาบาลมีความพร้อมในการทำหัตถการที่ซับซ้อน โดยเน้นการรุกล้ำน้อยที่สุด (Minimally Invasive) เพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดใหญ่
สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามารถทำการสวนหัวใจผ่านทางข้อมือหรือขาหนีบเพื่อฉีดสีดูจุดที่ตีบตัน และสามารถทำการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือใส่ขดลวด (Stent) เพื่อเปิดทางให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกอีกครั้ง ซึ่งเป็นการวินิจฉัยและรักษาต่อเนื่องได้ในคราวเดียวกัน
ในกลุ่มโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีเทคโนโลยีที่หลากหลาย ตั้งแต่การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker) ขนาดเท่าหน้าปัดนาฬิกาสำหรับผู้ที่หัวใจเต้นช้า ไปจนถึงการจี้ไฟฟ้าหัวใจ (Ablation) เพื่อรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ซึ่ง นพ.อัษฎายุธ อธิบายว่า “เรามีเทคโนโลยีสร้างแผนที่ไฟฟ้าหัวใจสามมิติ (3D Mapping) ที่ทำให้เห็นจุดกำเนิดความผิดปกติและเข้าไปจี้รักษาได้อย่างแม่นยำ” โดยที่ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวตลอดการรักษา ไม่ต้องวางยาสลบ และไม่เจ็บปวดอย่างที่คิด
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การรักษาโรคโครงสร้างหัวใจโดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอก ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติการรักษาแบบดั้งเดิม เช่น การเปลี่ยนลิ้นหัวใจเอออร์ติกผ่านสายสวน (TAVI/TAVR) สำหรับผู้ป่วยลิ้นหัวใจตีบที่มีความเสี่ยงสูง, การซ่อมลิ้นหัวใจไมทรัลรั่วด้วยคลิป (MitraClip) โดยการสอดอุปกรณ์เข้าไปหนีบลิ้นหัวใจที่รั่วให้ปิดสนิทขึ้น หรือ การปิดรูรั่วที่ผนังกั้นหัวใจ (ASD Closure) ด้วยอุปกรณ์คล้ายร่ม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำผ่านสายสวนขนาดเล็ก ช่วยลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลจากที่เคยเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ให้เหลือเพียงไม่กี่วัน
ไม่ใช่แค่รักษาโรคแต่คือการดูแลแบบ ‘Heart to Heart’
นพ.อัษฎายุธ ย้ำว่าความสำเร็จของการรักษาที่ซับซ้อนเหล่านี้ต้องอาศัยทีมสหสาขาวิชาชีพที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยอายุรแพทย์ ศัลยแพทย์หัวใจ แพทย์กายภาพบำบัด พยาบาล และนักโภชนาการ ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเป้าหมายเดียวกันคือให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วที่สุดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปรัชญานี้สะท้อนแนวคิดหลักของโรงพยาบาลที่ นพ.สุวาณิช กล่าวว่า “คนทุกคนที่เป็นโรคหัวใจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขากลัวครับ” โรงพยาบาลวิมุตจึงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การรักษาโรคทางกาย แต่ให้ความสำคัญกับการ “รักษาความรู้สึก” ของผู้ป่วยเป็นอย่างยิ่งภายใต้แนวคิด ‘Heart to Heart’ หรือการดูแลจากใจถึงใจ ทีมแพทย์เข้าใจดีว่าโรคบางชนิดเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและพฤติกรรม จึงขยายการดูแลไปถึงครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจและแนวทางการป้องกันร่วมกัน
“เราไม่ได้ดูเฉพาะตัวโรค เราอยากรักษาทั้งครอบครัว ที่สำคัญคือการรักษาหัวใจสู่หัวใจ บางคนกลัวมากจนไม่อยากรักษา เรามีวิธีและมีทีมสหสาขาวิชาชีพในการดูแลหัวใจของทุกคน” นพ.สุวาณิชกล่าวปิดท้าย เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะมอบชีวิตใหม่ที่แข็งแรงและมีความสุขกลับคืนสู่ผู้ป่วยและครอบครัว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สศส. – เพชรบุรี ต่อยอดวัฒนธรรมอาหารท้องถิ่น ประกวดรสเพ็ดรีประจำบ้าน หวังสืบทอดสู่คนรุ่นใหม่
‘เอ๊ะ-ถาม-อ๋อ’ เกราะป้องกันภัยไซเบอร์สู้กลโกงออนไลน์