Share on
×

Share

กรุงเทพฯสีเขียว: ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง

ในยุคที่เมืองต่างๆ ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันเพื่อเป็น “ตลาดแรงงาน” ดึงดูดกลุ่มคนทำงานยุคใหม่และดิจิทัลโนแมด (Digital Nomad) ที่สามารถเลือกทำงานจากที่ใดก็ได้ โจทย์ของ “กรุงเทพฯ สีเขียว” ได้ถูกยกระดับจากการเป็นเพียงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สู่การเป็นยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตและดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกให้ย้ายมาปักหลักอาศัยและทำงาน

นี่คือภาพอนาคตที่ พรพรหม วิกิตเศรษฐ ผู้บริหารด้านความยั่งยืนกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงไว้ในหัวข้อ ‘Greener Bangkok’ ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers จัดโดย The Cloud โดยชี้ว่าการสร้างเมืองที่น่าอยู่ด้วยอากาศที่ดี ถนนสะอาด และพื้นที่สีเขียวที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือการบริการที่เมืองต้องมอบให้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

พรพรหมได้เผยถึง 3 หลักการสำคัญที่เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแก้ปัญหา แต่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนผ่าน ความเชื่อมั่น (Trust) การแบ่งปัน (Sharing) และการมีส่วนร่วม (Participation)

สร้างความเชื่อมั่น: เปลี่ยนความไม่ไว้ใจให้กลายเป็นพลัง

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่กทม.ต้องเผชิญคือ ความเชื่อมั่นที่ขาดหายไปของประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการขยะ ซึ่งมักมีคำถามเสมอว่า “จะแยกขยะไปทำไมในเมื่อสุดท้ายกทม.ก็เทรวมกันอยู่ดี”

เพื่อทลายกำแพงแห่งความไม่ไว้วางใจนี้ กทม.ได้เริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มต้นจากแหล่งกำเนิดขยะรายใหญ่อย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน เพื่อสร้างระบบการจัดเก็บเศษอาหารที่แยกจากขยะประเภทอื่นอย่างชัดเจน นำไปหมักทำปุ๋ยและผลิตก๊าซชีวภาพ พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรกรกว่า 400 รายให้มารับเศษอาหารไปใช้เป็นอาหารสัตว์โดยตรง

จากความสำเร็จดังกล่าว กทม.กำลังขยายผลสู่ระดับครัวเรือนผ่านโครงการลงทะเบียนคัดแยกขยะ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ โดยบ้านที่เข้าร่วมและทำการแยกเศษอาหารจะได้รับการจัดเก็บตามพิกัดที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ในการลดค่าธรรมเนียมเก็บขยะ และยังได้รับปุ๋ยที่ผลิตได้กลับไปใช้อีกด้วย

เช่นเดียวกับโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นที่ปัจจุบันปลูกไปแล้วกว่า 2 ล้านต้น ทุกต้นจะถูกบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดทั้งชนิดพันธุ์ สถานที่ และผู้ปลูก ลงในฐานข้อมูลออนไลน์ tree.bangkok.go.th เพื่อให้ทุกคนสามารถติดตามและตรวจสอบได้ เป็นการยืนยันว่าทุกนโยบายที่ทำ ไม่ใช่แค่การสร้างภาพ แต่คือการลงมือทำจริงที่วัดผลได้

สร้างวัฒนธรรมแห่งการแบ่งปัน: เชื่อมคนที่มีเกินสู่คนที่มีไม่พอ

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำซ่อนอยู่ มีทั้งกลุ่มคนที่มีทรัพยากรเหลือเฟือและกลุ่มที่ยังขาดแคลน กทม. จึงพยายามสร้างกลไกเพื่อเชื่อมโยงสองส่วนนี้เข้าด้วยกันผ่าน “การแบ่งปัน” โครงการ “BKK Food Bank” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในการทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม โดยทีมงานจากสำนักงานเขตจะเข้าไปประสานงานกับซูเปอร์มาร์เก็ตและวัดต่าง ๆ เพื่อรับบริจาคอาหารที่ใกล้หมดอายุแต่ยังคงคุณภาพดี รวมถึงอาหารที่ได้รับบริจาคมาเกินความต้องการ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับกลุ่มเปราะบางในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถส่งมอบอาหารไปแล้วกว่า 4 ล้านมื้อ ช่วยเหลือผู้คนเกือบแสนคน และลดปริมาณขยะอาหารที่ต้องนำไปฝังกลบได้ถึง 1 ล้านกิโลกรัม

นอกจากการแบ่งปันอาหารแล้ว การแบ่งปันพื้นที่ก็เป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญ กทม.ได้ผลักดันแนวคิด POPS (Privately Owned Public Space) ที่ภาคเอกชนสามารถเปิดพื้นที่ของตนเองให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับการปลดล็อกพื้นที่ของหน่วยงานรัฐ โดยทยอยเปิดโรงเรียนในสังกัดกทม. ในช่วงหลังเลิกเรียนและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับคนในชุมชนได้เข้ามาออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เปิดประตูสู่การมีส่วนร่วม: ระดมทุกสรรพกำลังแก้ปัญหาเมือง

โจทย์ที่ท้าทายอย่างฝุ่น PM2.5 ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัย “ความร่วมมือ” จากทุกภาคส่วน กทม. จึงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการระดมความร่วมมืออย่างรอบด้าน

โดยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคเอกชนหลายร้อยบริษัทในการประกาศ Work from Home ในวันที่ค่าฝุ่นสูง ซึ่งช่วยลดทั้งการเดินทางและลดความเสี่ยงของพนักงานกว่า 200,000 คน นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับค่ายรถยนต์และปั๊มน้ำมันเพื่อมอบส่วนลดในการเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ดีเซล ซึ่งสามารถลดฝุ่นได้ถึง 50% และมีรถเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 300,000 คัน

ในขณะเดียวกัน ก็ได้ดึงภาควิชาการเข้ามาร่วมในโครงการ “นักสืบฝุ่น” เพื่อนำผลงานวิจัยมาวิเคราะห์แหล่งกำเนิดฝุ่นและเสนอแนะแนวทางแก้ไขเชิงนโยบายให้กับผู้บริหารกทม.โดยตรง ควบคู่ไปกับการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐระดับประเทศ เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพสูงสุด

นโยบายสิ่งแวดล้อมในแบบฉบับของกรุงเทพมหานครยุคใหม่จึงไม่ใช่แค่การจัดการขยะ ปลูกต้นไม้ หรือแก้ปัญหาฝุ่น แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมั่น การแบ่งปัน และการมีส่วนร่วม เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน และเป็นเมืองที่แข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AIS จับมือ GULF สร้างแลนด์มาร์กใหม่ ณ สวนเบญจกิติ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนกรุง

กสิกรไทย นำร่อง ‘สัญญาคาร์บอนล่วงหน้า’ ครั้งแรกในไทย ปลดล็อกความเสี่ยงราคา

×

Share

ผู้เขียน