ท่ามกลางเวทีเสวนาที่เต็มไปด้วยองค์ความรู้และวิสัยทัศน์ บรรยากาศต้องเปลี่ยนไปในทันที เมื่อ ดร.อลงกต ชูแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ได้เชิญ “เพื่อนร่วมทีม” สี่ขาขึ้นมาบนเวทีในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers การปรากฏตัวของสองสุนัขกู้ภัยฮีโร่ไม่ได้เป็นเพียงสีสัน แต่คือการเปิดฉากบทบรรยายในหัวข้อ “เสียงที่ไม่เคยถูกฟัง: บทเรียนจากสัตว์ป่า ทะเล และเมือง ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง” ได้อย่างทรงพลังที่สุด มันคือการนำ “ตัวแทน” ของเสียงที่เงียบงันมาอยู่ตรงหน้าผู้คน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสรรพชีวิต ซึ่งนำไปสู่บทสรุปอันลึกซึ้งว่า อนาคตของเราทุกคนขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์เดียว นั่นคือการ “อยู่รอดร่วมกัน”
K-9 นาวีและศรีนวล: ฮีโร่สี่ขาผู้สอนบทเรียนแห่งชีวิต
บนเวทีนั้น K-9 นาวี สุนัขพันธุ์เบลเยียมมาลินัวส์สง่างามจากสโลวีเนีย และ K-9 ศรีนวล สุนัขไทยใจสู้จากราชบุรี ยืนหยัดอย่างสงบนิ่ง ภาพของพวกมันในวันนี้ช่างแตกต่างจากภาพในภารกิจที่ต้องเผชิญกับความมืดมิดและอันตราย ณ ซากอาคารถล่ม ดร.อลงกต เล่าว่า ความสามารถของสุนัขกู้ภัยคือสิ่งที่เทคโนโลยีใดก็ไม่อาจทดแทนได้ ประสาทรับกลิ่นที่เฉียบคมของพวกมันสามารถตรวจจับสัญญาณชีวิตผ่านชั้นคอนกรีตหนา เป็นความหวังเดียวของผู้ที่รอคอยการช่วยเหลือ
ในคืนแห่งความเป็นความตายนั้น K-9 นาวี ได้ส่งเสียงเห่าสั้น ๆ เพียง 10 วินาที แต่มันกลับกลายเป็นไวรัลที่ดังก้องไปทั่วโลก สร้างยอดรับชมกว่า 14 ล้านครั้งในเวลาเพียง 4 ชั่วโมง ขณะที่ K-9 ศรีนวล แสดงความกล้าหาญมุดเข้าไปในพื้นที่โคลนที่แม้แต่มนุษย์ก็เข้าถึงได้ยากลำบาก เพื่อทำภารกิจค้นหาอย่างไม่ลดละ
แต่เบื้องหลังวีรกรรมเหล่านั้น คือบทเรียนที่ลึกซึ้งที่สุด

ดร.อลงกต เปิดเผยว่า เสียงเห่า “ครั้งแรก” ของ K-9 นาวี ไม่ใช่การส่งสัญญาณว่าพบมนุษย์ แต่เป็นการแจ้งเตือนว่ามีแมวตัวหนึ่งติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง “เขาเจอแมวครับ K-9 นาวีเห่าบอกว่าแมวติดอยู่ตรงนั้น และนั่นคือสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน”
การตัดสินใจส่งสัญญาณเพื่อสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของภารกิจ ได้ตอกย้ำแก่นของเรื่องราวทั้งหมดว่า ในสายตาของฮีโร่สี่ขาเหล่านี้ “ทุกชีวิตมีคุณค่าเท่าเทียมกัน” และการช่วยเหลือคือสัญชาตญาณที่ไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์
พลังของคนรุ่นใหม่: เมื่อกล้องในมือเยาวชนกลายเป็นกระบอกเสียงให้สัตว์ป่า
เสียงเห่าที่ช่วยชีวิตของ K-9 นาวี ไม่ใช่ “เสียงที่ไม่เคยถูกฟัง” เพียงหนึ่งเดียวที่ ดร.อลงกต หยิบยกขึ้นมา เขาได้เปลี่ยนมุมมองจากวีรกรรมเฉพาะหน้า ไปสู่การต่อสู้ระยะยาวเพื่อสรรพชีวิต โดยชี้ให้เห็นถึง “เสียงเล็ก ๆ ของเด็กและเยาวชนไทย” ที่ลุกขึ้นมาใช้อาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่พวกเขามี นั่นคือ “ความคิดสร้างสรรค์” และ “กล้อง”
ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี เยาวชนเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ บอกเล่าเรื่องราวของสัตว์ป่าในประเทศไทย ทั้งบนบกและใต้ทะเล ผ่านภาพยนตร์สั้นเกือบ 60 เรื่อง พวกเขาเปลี่ยนเสียงร้องที่ไร้ความหมายของสัตว์ต่าง ๆ ให้กลายเป็นเรื่องเล่าที่ทรงพลัง ทำให้สังคมได้เห็นชีวิตของพะยูน โลมา หรือม้าน้ำ ในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ผลงานของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศ แต่ยังดังไกลไปคว้ารางวัลในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ เป็นการทำหน้าที่ “ทูต” ให้กับสัตว์ป่าไทยบนเวทีโลก นี่คือข้อพิสูจน์ว่าพลังเล็ก ๆ ของคนรุ่นใหม่ สามารถสร้างแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ และเป็นความหวังในการปลูกฝังหัวใจแห่งการอนุรักษ์ให้เติบโตต่อไป
จากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่นักวิชาการพลเมือง: เมื่อโซเชียลมีเดียทลายกำแพงความรู้
ในมิติที่สาม ดร.อลงกต ได้ชี้ให้เห็นถึงการปฏิวัติเงียบที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัล เมื่อเทคโนโลยีได้เข้ามาทลายกำแพงที่เคยกั้นขวางระหว่าง “องค์ความรู้ในตำรา” และ “ภูมิปัญญาจากภาคปฏิบัติ” โซเชียลมีเดียได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขยายเสียงของชาวบ้านในชุมชนต่าง ๆ ที่อาจไม่มีตำแหน่งทางวิชาการ แต่มีความเข้าใจในระบบนิเวศท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง
ลองจินตนาการถึงชาวประมงที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีปะการัง หรือชาวนาที่รับรู้ถึงการมาเยือนของนกอพยพที่ผิดฤดูกาล ในอดีตความรู้นี้อาจถูกจำกัดอยู่แค่ในวงสนทนาของหมู่บ้าน แต่ในวันนี้เพียงแค่คลิปวิดีโอหรือโพสต์เดียวบนโซเชียลมีเดีย ก็สามารถกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์นำไปต่อยอดได้ ดร.อลงกต เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การเกิดขึ้นของ “นักวิชาการพลเมือง” ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการสร้างความเข้าใจและเป็นกระบอกเสียงให้กับสิ่งแวดล้อมในระดับรากหญ้า
Survivor Together: ยุทธศาสตร์สุดท้ายเพื่อความยั่งยืน
บทสรุปจากเรื่องราวทั้งสามมิติ คือวิสัยทัศน์ที่มองไปสู่อนาคต ดร.อลงกต ชี้ให้เห็นว่า แม้ในพื้นที่แห่งโศกนาฏกรรมของมนุษย์ ชีวิตอื่น ๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป ทั้งกระรอกที่วิ่งเล่นในตอนเช้า หรือสุนัขจรที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ โลกไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์ แต่เต็มไปด้วยชีวิตที่เกี่ยวพันกันเป็นหนึ่งเดียว
“เทรนด์ของอนาคต คือยุทธศาสตร์การอยู่ร่วมกันที่เรียกว่า Survivor Together ระหว่างสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตและชีวิตของมนุษย์” นี่คือบทสรุปที่เป็นมากกว่าแค่แนวคิดสวยงาม แต่มันคือ “ยุทธศาสตร์” ที่ต้องลงมือทำ เป็นการเรียกร้องให้มนุษย์เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ครอบครอง” มาเป็น “ผู้ร่วมอาศัย” ในบ้านที่ชื่อว่าโลก เพื่อสร้างสมดุลและยอมรับในการดำรงอยู่ของทุกชีวิต อันจะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายที่ทุกชีวิตสามารถ “อยู่รอดร่วมกัน” ได้อย่างยั่งยืนและแท้จริง
สวนทางยุค Pet Parent? เปิดวิกฤติคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์ไทย ที่สังคมต้องรู้
True x Butterbear ส่งคอลเล็กชันพิเศษให้ลูกค้าทรูและดีแทคเป็นเจ้าของง่าย ๆ ได้แล้ววันนี้