Share on
×

Share

AI: ทางลัดเศรษฐกิจไทย สู่การเติบโตที่ไม่ต้องเดินตามใคร

ทำไมการมีงานทำจึงไม่เท่ากับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง? นี่คือคำถามสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ เมื่อเราติดอยู่กับการพัฒนาที่ไม่ก้าวกระโดดเสียที ขวัญพัฒน์ สุทธิธรรมกิจ เจ้าหน้าที่อาวุโสธนาคารโลกผู้รับผิดชอบประเทศไทย ได้ชี้ให้เห็นว่าระหว่างคำว่า “งาน” และ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” นั้น มีอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ “ผลิตภาพ” (Productivity) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศว่าจะก้าวไปสู่ความมั่งคั่งได้ พร้อมเสนอทางออกที่น่าสนใจบนเวทีเสวนาหัวข้อ “Jobs and Growth” ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers โดย The Cloud ที่น่าสนใจว่าแทนที่จะไต่บันไดการพัฒนา 4 ขั้นแบบดั้งเดิมที่ใช้เวลานับทศวรรษ ประเทศไทยอาจใช้ AI เป็น ‘ทางด่วน’ พิเศษเพื่อทะยานสู่เป้าหมายได้เร็วกว่าที่เคย

ขวัญพัฒน์ สุทธิธรรมกิจ เจ้าหน้าที่อาวุโสธนาคารโลกผู้รับผิดชอบประเทศไทย
ขวัญพัฒน์ สุทธิธรรมกิจ เจ้าหน้าที่อาวุโสธนาคารโลกผู้รับผิดชอบประเทศไทย

ผลิตภาพ: ตัวแปรที่หายไประหว่างงานและการเติบโต

บ่อยครั้งเมื่อเราพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรามักจะมุ่งความสนใจไปที่การสร้าง “งาน” (Jobs) ให้ได้มากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เป็นเหมือน “สะพานเชื่อม” ที่ถูกมองข้ามไประหว่างการมีงานทำและการเติบโตที่แท้จริง นั่นคือ “ผลิตภาพ” (Productivity) ซึ่งเป็นหัวใจที่จะตอบคำถามว่าทำไมบางประเทศจึงร่ำรวยกว่าอีกประเทศ แม้จะมีจำนวนคนทำงานใกล้เคียงกัน

หากจะนิยามให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ลองจินตนาการถึงคนสองคน คนแรกทำงานหนึ่งชั่วโมงสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ 1,000 บาท แต่อีกคนหนึ่งในเวลาเท่ากัน กลับสามารถใช้ความรู้ ทักษะ หรือเทคโนโลยีสร้างมูลค่าได้นับแสนหรือนับล้านบาท นี่คือความแตกต่างของผลิตภาพที่ไม่ได้วัดกันที่ “ปริมาณ” ของแรงงาน แต่วัดกันที่ “คุณภาพและมูลค่า” ที่แรงงานนั้นสร้างขึ้นมาได้

ดังนั้น สมการพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ว่า “จำนวนคนทำงาน x ผลิตภาพ = ขนาดเศรษฐกิจ” จึงชี้ให้เห็นว่า การจะยกระดับประเทศให้มั่งคั่งขึ้น การเพิ่มเพียงจำนวนตำแหน่งงานนั้นไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องเพิ่มผลิตภาพของคนทำงานในทุกภาคส่วนให้สูงขึ้น ซึ่งนี่คือโจทย์ใหญ่และเป็นจุดเริ่มต้นของการแสวงหาเส้นทางการพัฒนาของประเทศไทยในทศวรรษต่อไป

บันได 4 ขั้นสู่ความมั่งคั่งในโลกเก่า

ในอดีต ทุกประเทศที่ขยับจากประเทศยากจนไปสู่ประเทศร่ำรวย ล้วนต้องผ่านการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม 4 ด้านสำคัญ ซึ่งเปรียบเสมือนบันไดที่ต้องไต่ขึ้นไปทีละขั้น

ขั้นที่ 1: การลดสัดส่วนแรงงานภาคเกษตร ประเทศไทยมีแรงงานในภาคเกษตรถึง 30% ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศในระดับรายได้เดียวกันถือว่าอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย แต่หากมองไปยังประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมาเลเซียที่เพิ่งก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูง พวกเขามีแรงงานภาคเกษตรเพียง 10% หรือจีนที่ 23% ขณะที่สหภาพยุโรปมีสัดส่วนที่ต่ำกว่านั้นมาก สะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนย้ายแรงงานไปสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการที่มีมูลค่าสูงกว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ

ขั้นที่ 2: การขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) เมืองคือศูนย์รวมของงานที่มีผลิตภาพสูง ปัจจุบันประเทศไทยมีความเป็นเมืองอยู่ที่ 52% ขณะที่ประเทศที่มีรายได้สูงกว่าเรามีสัดส่วนความเป็นเมืองสูงถึง 70-80% การมีความเป็นเมืองมากขึ้นหมายถึงการมีแหล่งงานที่มีมูลค่าสูงกระจุกตัวอยู่มากพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม

ขั้นที่ 3: การเปลี่ยนผ่านจากงานทักษะต่ำสู่งานทักษะสูง แม้ว่าไทยจะมีสัดส่วนแรงงานในภาคบริการราว 52% ซึ่งดูไม่น้อย แต่เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าเป็นงานบริการที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเป็นส่วนใหญ่ รายงานของธนาคารโลกชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่ากังวล คือบัณฑิตจบใหม่ที่เลือกทำงานในภูมิลำเนาแทนที่จะเข้าสู่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ หรือ EEC สุดท้ายมักจบลงด้วยการทำงานบริการคุณภาพต่ำ ซึ่งไม่ตรงกับทักษะและศักยภาพที่ควรจะเป็น

ขั้นที่ 4: การขยายขนาดธุรกิจจาก SME สู่องค์กรขนาดใหญ่ งานในประเทศไทยกว่า 60-70% อยู่ในธุรกิจ SME และส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดเล็กมาก (Micro Enterprise) ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วจะมีสัดส่วนงานในบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า เหตุผลสำคัญคือบริษัทขนาดใหญ่มีงบประมาณในการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรม (R&D) ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพิ่มและขับเคลื่อนผลิตภาพของประเทศ

AI: ทางลัดสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีทางเลือกว่าจะใช้เวลา 10, 15 หรือ 20 ปี เพื่อไต่บันไดทั้ง 4 ขั้นนี้ตามรอยประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในวันนี้ โลกได้มอบมิติที่ 5 ซึ่งเป็นทางลัดที่แม้แต่ประเทศร่ำรวยในปัจจุบันก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้เพื่อการเปลี่ยนผ่านมาก่อนนั่นคือ AI

AI คือตัวเปลี่ยนเกมที่จะช่วยให้ไทยสามารถก้าวกระโดดโดยไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางเดิมทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แทนที่จะต้องดึงคนออกจากภาคเกษตร เราสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้สูงขึ้นมหาศาล ทำให้เกษตรกรยังคงอยู่ที่เดิมและมีรายได้สูงขึ้นได้

สำหรับผู้ประกอบการในชนบท AI สามารถทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ได้ โดยทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษาทางธุรกิจ ช่วยเขียนแอปพลิเคชันสำหรับขยายตลาด และเชื่อมต่อกับระบบโลจิสติกส์เพื่อส่งสินค้าไปขายได้ทั่วประเทศหรือทั่วโลก ในด้านการพัฒนาทักษะ AI เปรียบเสมือนสมองชั้นดีที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้คนทำงานได้ในชั่วข้ามคืน

และที่สำคัญที่สุด AI กำลังทำให้กฎเกณฑ์ทางธุรกิจเปลี่ยนไปสู่ยุคที่ “ขนาดไม่สำคัญอีกต่อไป” (Size Doesn’t Matter) ธุรกิจที่มีพนักงานเพียง 5 คนก็สามารถสร้างรายได้เป็นหมื่นล้านได้ เพราะ AI สามารถเข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจ ให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ ทำให้ SME สามารถขยายธุรกิจในเชิงรายได้โดยไม่จำเป็นต้องขยายขนาดองค์กร

เปลี่ยนมุมมอง: จากผู้ทดแทนสู่ผู้เสริมพลัง

ขณะที่หลายประเทศมองว่า AI คือยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อินเดียทุ่มงบกว่า 6 หมื่นล้านบาทเพื่อนำ AI มาใช้ในภาคสาธารณะสุข เกษตร และโลจิสติกส์ ฟินแลนด์เปิดคอร์สให้คนนับล้านเรียนรู้เรื่อง AI แต่บทสนทนาในสังคมไทยกลับวนเวียนอยู่กับความกลัวว่า “AI จะมาทดแทนคนและตำแหน่งงาน”

วันนี้อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนมุมมอง และตั้งคำถามใหม่ว่า “เราจะใช้ AI เพื่อเสริมพลังคนและงานที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีคุณภาพและผลิตภาพสูงขึ้นได้อย่างไร”

แน่นอนว่าการสร้างงานใหม่มูลค่าสูงในอุตสาหกรรมอนาคตอย่างไบโอเทค ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือหุ่นยนต์ เป็นสิ่งจำเป็นและต้องทำต่อไป แต่เราต้องไม่ลืมว่า “งานที่มีอยู่เดิม” ทั้งในภาคเกษตรและ SME คือฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ การนำ AI เข้าไปเสริมพลังให้กับคนกลุ่มนี้ คือการเพิ่มผลิตภาพให้กับประเทศได้อย่างตรงจุดและรวดเร็วที่สุด

โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้ ไม่ใช่แค่การสร้างงานใหม่ แต่คือการทำให้คนไทย “รู้ทันและใช้ AI เป็น” เพื่อปลดล็อกศักยภาพและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในแบบที่เราไม่ต้องเดินตามใครอีกต่อไป

×

Share

ผู้เขียน