Share on
×

Share

เปิด 3 ยุทธศาสตร์ ‘ทลายคอร์รัปชัน’ ด้วยข้อมูลเปิด-รัฐดิจิทัล-ปฏิรูปจัดซื้อ

ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers ที่จัดโดย The Cloud หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างน่าสนใจ คือแนวทางการทลายวงจรคอร์รัปชัน ในหัวข้อ “Disruption to Break Corruption” โดย รักชนก ศรีนอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งได้ฉายภาพว่า การแก้ปัญหาทุจริตในปัจจุบันเปรียบเสมือนการไล่ตักน้ำออกจากเรือที่รั่ว แทนที่จะอุดรูรั่วที่ต้นตอ

รักชนกชี้ว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีปริมาณมหาศาลถึงปีละ 5 ล้านรายการ หากมีการทุจริตเกิดขึ้นเพียง 5% นั่นหมายถึงคดีที่อาจเกิดขึ้นถึง 250,000 คดีต่อปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไล่จัดการทีละกรณีได้ทั้งหมด แต่ข่าวดีคือ มีวิธีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังกว่านั้นในการแก้ปัญหาที่ต้นตอ โดยเธอได้นำเสนอ 3 แนวทางสำคัญที่จะปฏิรูปธรรมาภิบาลภาครัฐและลดปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน

เทรนด์ที่ 1: รัฐโปร่งใส‘เปิดข้อมูลเป็นหลักปกปิดเป็นข้อยกเว้น’

หัวใจของการป้องกันการทุจริตคือการทำให้ “ทุกอย่างอยู่บนโต๊ะ” ให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบได้ การเปิดเผยข้อมูลไม่ใช่แค่การแสดงความโปร่งใส แต่เป็นเครื่องมือป้องปรามเชิงรุกที่ทำให้ผู้คิดจะทุจริตต้องลังเล เพราะทุกการกระทำจะถูกจับตามอง

 ในปัจจุบัน ประชาชนที่ต้องการตรวจสอบต้องเผชิญกับอุปสรรคจาก พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับเดิม ที่บังคับให้ต้องทำเรื่องร้องขอ ซึ่งมักตามมาด้วยการถูกปฏิเสธ อ้างว่าเป็นความลับ หรือการรอคอยอย่างไม่มีจุดหมาย กลายเป็นกำแพงที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

แนวคิดนี้จึงถูกผลักดันผ่านข้อเสนอ “พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” ซึ่งจะเข้ามาปฏิวัติหลักการเดิมๆ กฎหมายใหม่นี้จะเปลี่ยนจาก “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเมื่อร้องขอ” ไปเป็น “เปิดเผยเป็นปกติ ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” หมายความว่าข้อมูลทุกอย่างที่รัฐมีอยู่ในมือจะต้องถูกนำขึ้นระบบออนไลน์ให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยอัตโนมัติ โดยมีข้อยกเว้นเพียงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจริง ๆ เช่น ความมั่นคงของชาติ หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องได้รับความคุ้มครอง

การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการนำฐานข้อมูลขนาดใหญ่ 4 ส่วนของรัฐมาเชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างเครือข่ายการตรวจสอบที่ครอบคลุม โดยแต่ละฐานข้อมูลจะทำหน้าที่ปิดช่องโหว่ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด จากกรมบัญชีกลางที่จะช่วยเปิดโปงการฮั้วประมูลหรือการตั้งราคาสูงเกินจริง ข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัท จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเอกชนกับผู้มีอำนาจ บัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง ที่ต้องเปิดเผยอย่างถาวรเพื่อติดตามความร่ำรวยผิดปกติ และสุดท้ายคือ รายชื่อข้าราชการทุกคนทุกระดับ เพื่อสร้างความรับผิดชอบและระบุตัวตนผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการต่างๆ ได้

เมื่อข้อมูลทั้งสี่ชุดนี้ถูกนำมาวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI จะสามารถค้นพบ “ธงแดง” หรือความผิดปกติได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบ แทนที่ ป.ป.ช. หรือหน่วยงานตรวจสอบจะต้องใช้เวลาหลายเดือนในการสืบค้นข้อมูลด้วยตนเอง ระบบ AI จะสามารถแจ้งเตือนได้แทบจะทันทีเมื่อพบความเชื่อมโยงที่น่าสงสัย นี่คือการเปลี่ยนจากการทำงานเชิงรับที่รอให้คนมาร้องเรียน เป็นการทำงานเชิงรุกที่สามารถหยุดยั้งความเสียหายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

เทรนด์ที่ 2: รัฐบาลดิจิทัล‘ใช้เทคโนโลยีลดดุลยพินิจปิดช่องเรียกสินบน’

รัฐบาลดิจิทัลที่แท้จริงไม่ใช่แค่การมีแอปพลิเคชันนับแสน แต่คือการนำเทคโนโลยีมา “ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่”เพราะทุกครั้งที่ประชาชนต้องไปขอใบอนุญาต หรือขอการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ เท่ากับเป็นการสร้าง “ด่าน” ที่เปิดโอกาสให้เกิดการเรียกรับสินบนเพื่อแลกกับการอำนวยความสะดวก รัฐบาลดิจิทัลคือการทลายด่านเหล่านั้นทิ้งไป

ข้อเสนอ “พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก” จะเข้ามาจัดการปัญหานี้โดยตรง โดยเฉพาะในการขอใบอนุญาตที่ไม่ซับซ้อน เช่น ใบอนุญาตเปิดร้านอาหารหรือโรงแรม ที่มักมีการเตะถ่วงหรือทำให้กระบวนการล่าช้าเพื่อเรียกรับ “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” กฎหมายนี้จะบังคับให้หน่วยงานรัฐต้องสร้างเช็กลิสต์เอกสารที่ชัดเจนพร้อมกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน เป็นการเปลี่ยนภาระในการพิสูจน์จากประชาชนมาสู่รัฐ หากประชาชนยื่นเอกสารครบถ้วนตามเงื่อนไขแล้ว ระบบจะต้องอนุมัติใบอนุญาตโดยอัตโนมัติ ทำให้เจ้าหน้าที่จะไม่มีอำนาจในการยืดเวลาหรือปฏิเสธเพื่อเรียกรับผลประโยชน์อีกต่อไป

นอกจากนี้ เทคโนโลยียังสามารถทำหน้าที่เป็นกรรมการที่เป็นกลางในข้อพิพาทต่าง ๆ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่โต้แย้งได้ยาก ตัวอย่างเช่น ในข้อพิพาทเรื่องสิทธิ์ในที่ดิน แทนที่จะใช้คำให้การของเจ้าหน้าที่หรือแผนที่ที่อาจคลาดเคลื่อน สามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 5 ปี 10 ปี มาเปรียบเทียบเพื่อดูว่าประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นก่อนการประกาศเป็นเขตป่าหรือไม่ ทำให้การตัดสินใจตั้งอยู่บนหลักฐานที่ชัดเจนและเป็นวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังสามารถนำเทคโนโลยีเดียวกันมาบังคับใช้กฎหมายผังเมือง โดยนำภาพถ่ายดาวเทียมซ้อนทับกับแผนที่ผังเมือง เพื่อระบุตำแหน่งโรงงานที่สร้างผิดโซนสีได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที ทำให้การบังคับใช้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และเท่าเทียมกันทุกคน ปราศจากการแทรกแซงโดยเจ้าหน้าที่ที่อาจทุจริต

เทรนด์ที่ 3: ปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้าง‘สร้างแพลตฟอร์มกลางสู้ราคาแพงเกินจริง’

เป็นเรื่องน่าแปลกที่ในยุคที่ประชาชนสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าชิ้นต่อชิ้นบนแพลตฟอร์มอย่าง Shopee หรือ Lazada ได้ แต่ภาครัฐกลับยังคงจัดซื้อจัดจ้างของซ้ำ ๆ เช่น โต๊ะ ตู้ คอมพิวเตอร์ ในราคาที่อาจสูงเกินจริง ผ่านกระบวนการที่เอื้อต่อการทุจริต ทั้งการล็อกสเปกให้มีผู้ชนะเพียงรายเดียว หรือการฮั้วประมูลที่บริษัทต่าง ๆ ตกลงราคากันล่วงหน้า ทำให้รัฐต้องเสียงบประมาณไปอย่างมหาศาล

ทางออกที่ตรงไปตรงมาคือการสร้างแพลตฟอร์มจัดซื้อจัดจ้างกลางของภาครัฐ (e-Marketplace) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนตลาดออนไลน์ขนาดใหญ่สำหรับหน่วยงานรัฐ โดยจะให้ผู้ประกอบการนำสินค้ามาลงทะเบียนเสนอขาย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แพลตฟอร์มนี้จะทำลายการล็อกสเปก เพราะมีสินค้ามาตรฐานจากหลากหลายผู้ขายให้เปรียบเทียบ และทำลายการฮั้วประมูล เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างราคาอ้างอิงของตลาดขึ้นในระบบโดยอัตโนมัติ ต่อไปนี้หากหน่วยงานใดเลือกที่จะจัดซื้อนอกแพลตฟอร์มในราคาที่สูงกว่า ก็จะถูกตั้งคำถามจากสังคมและหน่วยงานตรวจสอบได้ทันที

โมเดลนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วใน ประเทศเกาหลีใต้ กับแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า KONEPS ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดงบประมาณของประเทศในการจัดซื้อครุภัณฑ์ได้มากถึง 40% แต่ยังสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในวงกว้าง เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) สามารถแข่งขันและเติบโตจากการขายสินค้าให้ภาครัฐได้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นระหว่างภาครัฐและเอกชน

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่วิธีการแต่อยู่ที่ความกล้าหาญของผู้มีอำนาจ

ทั้ง 3 แนวทางที่กล่าวมาล้วนเป็นวิธีที่เรียบง่ายและเป็นสามัญสำนึก เทคโนโลยีก็มีพร้อม แนวทางปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศก็มีให้เห็น ปัญหาที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องทางเทคนิค แต่เป็นปัญหา “ทางการเมือง” คำถามสำคัญคือ “ทำไมมันถึงไม่เคยเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย?”

รักชนกทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า คำตอบอาจเป็นเพราะผู้มีอำนาจไม่ได้มีเจตจำนงที่แท้จริงในการแก้ปัญหา หรือขาดความกล้าหาญทางการเมืองที่จะปะทะกับระบบราชการและผู้ที่เสียผลประโยชน์จากระบบที่ทึบแสงและไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้

ดังนั้น ปัญหาคอร์รัปชันอาจไม่ได้รอการแก้ไขด้วยวิธีการที่ซับซ้อน แต่กำลังรอผู้นำที่มีความกล้าหาญและจริงใจ ที่จะเลือกผลประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าพวกพ้อง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว อำนาจในการเลือกผู้นำแบบนั้นก็อยู่ในมือของประชาชนทุกคนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เบื้องหลังกระจกเงา: ถอดโมเดลจัดการของบริจาคสู่การสร้างงาน-ลดขยะ

สันติธาร x ปิยะชาติ: อ่านเกมอนาคตประเทศไทยบนโลกใบใหม่

×

Share

ผู้เขียน