Share on
×

Share

สวนทางความรวย เมื่อ GDP ไทยพุ่งทะยาน แต่ความสุขของผู้คนกลับดิ่งลง

จากเวทีเสวนาหัวข้อ “Spirituality is the Medicine to Cure the World” โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers จัดโดย The Cloud ได้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจว่า เป็นเรื่องน่าแปลกที่ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเกือบร้อยเท่า แต่สวนทางกับความรู้สึกของผู้คนที่มีความทุกข์และความเจ็บปวดทางใจมากขึ้น ท่ามกลางตัวเลข GDP ที่เติบโต ยังมีวิกฤตสุขภาวะทางจิตใจที่กัดกินสังคมไทยอย่างเงียบ ๆ และอาจมีเพียง “ยา” ขนานเดียวที่สามารถเยียวยาได้ นั่นคือ “สุขภาวะทางปัญญา” (Spiritual Health)

วิกฤติเงียบ: บาดแผลที่ซ่อนอยู่ของคนไทย

สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบันน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง มีคนไทยมากถึง 13 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากร ที่เคยประสบปัญหาด้านจิตเวช ในแต่ละปีมีผู้พยายามฆ่าตัวตายสูงถึง 30,000 คน และในจำนวนนั้นมีผู้ที่ทำสำเร็จประมาณปีละ 5,000 คน

เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด พบข้อมูลที่น่าตกใจยิ่งขึ้น โดยกลุ่มที่พยายามฆ่าตัวตายมากที่สุดคือเยาวชนหญิงอายุ 15-19 ปี ขณะที่กลุ่มที่ฆ่าตัวตายสำเร็จส่วนใหญ่กลับเป็นผู้ชาย ซึ่งมากกว่าผู้หญิงถึง 4 เท่า และน่าเศร้าที่ผู้สูงอายุก็เป็นอีกกลุ่มที่ทำสำเร็จในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ กลุ่มคนที่มีระดับความเศร้าสูงที่สุดคือเยาวชนในช่วงอายุ 18-24 ปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ที่แผ่ขยายไปในทุกช่วงวัย คำถามสำคัญคือ อะไรคือต้นตอของความทุกข์ระทมเหล่านี้?

ขุดรากความทุกข์: ภูเขาน้ำแข็งในจิตใจ

ความทุกข์ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นจากเหตุผลในปัจจุบัน แต่มีรากฐานมาจาก “ปมในจิตใต้สำนึก” ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ครอบครัวและคนรอบข้าง ซึ่งเป็นผู้ที่เรารักและไว้วางใจที่สุด คือผู้ที่สามารถสร้างบาดแผลในใจให้เราได้มากที่สุดโดยไม่ตั้งใจ คำพูดเช่น “ทำไมลูกเป็นอย่างนี้” หรือ “ทำไมเธอไม่เตรียมตัว” แม้จะมีเจตนาดีที่อยากให้เราพัฒนา แต่สิ่งที่เด็กสัมผัสได้คือ “เธอยังไม่ดีพอ” คำพูดและการกระทำเหล่านี้ค่อย ๆ สะสมกลายเป็นเศษซากของจิตใจที่ถูกทำลาย (Psychic Debris) ซึ่งซ่อนอยู่ลึกใต้จิตสำนึก เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งที่มองไม่เห็น แต่กลับเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจและอารมณ์ความรู้สึกของเราในชีวิตประจำวัน

“เมื่อคนเราสะสมขยะทางอารมณ์เหล่านี้ไว้โดยไม่มีระบบจัดการหรือระบายออกที่มีประสิทธิภาพ (Defense Mechanism) วันหนึ่งมันอาจ “ระเบิด” ออกมาในรูปแบบของการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตาย”

วัคซีนใจ: สร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ

ทางออกแรกในการป้องกันและเยียวยาปัญหานี้ คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจ ซึ่งเปรียบเสมือนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคทางใจ วัคซีนที่สำคัญที่สุดประกอบด้วย การยอมรับในตัวเอง ซึ่งคือการตระหนักว่าเรามีคุณค่าแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ ควบคู่ไปกับ การตระหนักในคุณค่าของตนเอง ว่าตัวเรานั้นมีความสำคัญต่อคนรอบข้างและโลกใบนี้ เมื่อคนเรามีวัคซีนตัวนี้ เข็มทิศในชีวิตของเขาจะไม่แกว่งไปตามคำตัดสินของคนอื่นอีกต่อไป เพราะเขารู้จากข้างในแล้วว่า “เขามีคุณค่าพอ”

ยาขนานเอก: พลังแห่งสุขภาวะทางปัญญา

นอกจากการสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว ยาที่สำคัญที่สุดในการเยียวยาคือการเข้าถึงสุขภาวะทางปัญญา หรือ Inner Healing ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) ที่ว่า ขั้นสูงสุดของความสุขมนุษย์ไม่ใช่การได้รับการยอมรับจากสังคม (ขั้นที่ 4) แต่คือ การตระหนักในคุณค่าของตนเอง (Self-Actualization) (ขั้นที่ 5) สุขภาวะทางปัญญาคือการค้นพบว่าเรามีคุณค่าต่อคนรอบข้างและโลกใบนี้อย่างไร ซึ่งเป็นภาวะที่ “เหนือตัวตน” เป็นการเปลี่ยนโฟกัสจากการมองเข้ามาที่ตัวเอง ซึ่งมักจะเจอแต่ความทุกข์ ไปสู่การมองออกไปข้างนอก เพื่อดูว่าเราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร

ความมั่งคั่งที่พบในการให้

นพ.พงศ์เทพ ได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อครั้งเป็นแพทย์จบใหม่ในชนบท ด้วยเงินเดือนเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ทำงานในเมืองและมีรายได้สูงกว่าหลายเท่า ในช่วงแรกเขารู้สึกทุกข์และน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้พบกับคนไข้ที่ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคุณยายที่เป็นโรคหัวใจและต้องนอนหนาวทั้งคืนเพราะฝนสาดเข้าบ้าน วินาทีที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากกว่า เขากลับค้นพบความสุขและความหมายที่แท้จริง เขารู้สึกว่าเงินเดือนที่มีนั้นมากมายมหาศาลสำหรับคนในพื้นที่

“เมื่อเรามองคนที่สูงกว่า เราจะรู้สึกอิจฉาและเป็นทุกข์ แต่เมื่อเรามองคนที่ลำบากกว่า เราจะมีความสุขที่ได้ให้และอยากช่วยเหลือ”

นี่คือหัวใจของสุขภาวะทางปัญญา การช่วยเหลือผู้อื่นไม่จำเป็นต้องใช้เงินเสมอไป เพียงแค่แรงกาย หรือแม้กระทั่งคำพูดให้กำลังใจ ก็สามารถส่งต่อความเอื้ออาทรและสร้างความสุขได้อย่างมหาศาล

จาก GDP สู่ความสุขที่แท้จริง: เส้นทางใหม่ของสังคมไทย

อาจถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องเปลี่ยนมุมมอง จากการวัดความสำเร็จของประเทศด้วยตัวเลข GDP เพียงอย่างเดียว มาสู่การให้ความสำคัญกับความสุขจากการได้เห็นผู้อื่นมีความสุข ดังที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เคยกล่าวไว้ว่า “ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ของความดี และปุ๋ยที่ดีที่สุดสำหรับเมล็ดพันธุ์นั้น คือการได้พบกับคนที่ทุกข์ยาก”

การส่งต่อความสุขผ่านการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คือหนทางที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว โลกใบนี้อาจไม่เคยพอสำหรับความโลภของคนเพียงคนเดียว แต่ย่อมเพียงพอสำหรับทุกคนที่พร้อมจะแบ่งปันเสมอ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ธุรกิจหันมาจ้างงานชั่วคราว ‘ฝันร้าย’ มนุษย์เงินเดือน

‘หาได้เพิ่มเท่าไร ใช้เท่าเดิม’ สูตรลับสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของมนุษย์เงินเดือน

×

Share

ผู้เขียน