ท่ามกลางโลกที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกทางเศรษฐกิจและผลกำไร ยังมีพลังขับเคลื่อนอีกรูปแบบหนึ่งที่ทรงพลังไม่แพ้กัน—พลังที่เริ่มต้นจากจุดที่เรียบง่ายที่สุดอย่าง ‘การให้’ โดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นตัวเงิน พลังของ ‘อาสาสมัคร’ ทั่วโลกนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่หลายคนจะจินตนาการ และส่งผลกระทบมากกว่าแค่การประเมินค่าเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่คุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาวัดกันที่ ‘ความสัมพันธ์’ และ ‘ความไว้เนื้อเชื่อใจ’ ที่สร้างขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

หัถยา วงษ์แสงไพบูลย์ Technical Lead, Volunteering for Development, VSO International กล่าวบนเวทีเสวนาหัวข้อ “Responsible and Impactful Volunteering” ในงาน Sustrends 2025 Year of Volunteers จัดโดย The Cloud ว่า หากเราจะรวบรวมอาสาสมัครทั่วโลกที่ทำงานอย่างน้อยเดือนละครั้ง มาสร้างเป็นประเทศสมมติชื่อว่า “วอลันเทียร์แลนด์” (Volunteerland) ประเทศแห่งนี้จะมีประชากรสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและอินเดีย ด้วยจำนวนมากถึง 860 ล้านคน นี่คือภาพสะท้อนพลังอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มคนที่ทำงานโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่ขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาดีที่จะช่วยเหลือสังคม
พลังของอาสาสมัครไม่ได้มีเพียงมิติเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล โดยมีรายงานจาก CGTN ในปี 2021 ประเมินว่า พลังของภาคประชาสังคมและอาสาสมัครสามารถคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 2.4% ของ GDP ทั่วโลก หรือประมาณ 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่าแม้การทำงานของอาสาสมัครแต่ละคนอาจดูเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คุณค่าที่แท้จริง: เมื่อ‘ความสัมพันธ์’ คือหัวใจของงานอาสาสมัคร
คุณค่าที่แท้จริงของงานอาสาสมัครนั้นลึกซึ้งกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ เพราะมันไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนแบบธุรกรรม แต่หยั่งรากลึกในมิติของความเป็นมนุษย์ จากงานวิจัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในหัวข้อ “Valuing Volunteering” พบว่า สิ่งที่ทำให้งานอาสาสมัครแตกต่างอย่างสิ้นเชิง คือ “ความสัมพันธ์” (Relationship) ที่อาสาสมัครสร้างขึ้นกับชุมชน เนื่องจากแรงจูงใจของพวกเขาไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นความปรารถนาดีอย่างแท้จริง ทำให้พวกเขาถูกมองในฐานะ “เพื่อน” ที่พร้อมรับฟังและเรียนรู้ ไม่ใช่ “เจ้าหน้าที่” ที่เข้ามาพร้อมกับวาระที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ความสัมพันธ์นี้ก่อให้เกิดสกุลเงินที่ทรงพลังที่สุด นั่นคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” (Trust) ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สร้างขึ้นจากการใช้ชีวิตร่วมกัน การลงมือทำ และการเผชิญปัญหาร่วมกับคนในชุมชน ความไว้วางใจนี้เองที่เปิดประตูไปสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทำให้อาสาสมัครสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก ความต้องการที่แท้จริง หรือแม้แต่ความกังวลที่คนในชุมชนอาจไม่เคยบอกเล่าให้คนนอกหรือหน่วยงานภาครัฐได้รับรู้ พวกเขาจึงกลายเป็น “สะพานเชื่อม” สองทิศทางที่สำคัญ ถ่ายทอดเสียงที่แท้จริงของชุมชนไปสู่ผู้กำหนดนโยบาย และในขณะเดียวกัน ก็นำทรัพยากรหรือความรู้จากภายนอกเข้ามาปรับใช้ในชุมชนได้อย่างเหมาะสมและได้รับความร่วมมือ
ยิ่งไปกว่านั้น อาสาสมัครไม่ได้เข้าไปเพื่อ “ให้” เพียงอย่างเดียว แต่เข้าไปเพื่อ “ร่วมสร้าง” พวกเขามีบทบาทเป็นตัวกระตุ้นที่นำนวัตกรรมหรือมุมมองใหม่ๆ เข้าไปผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ก่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่เรียกว่า “การสร้างสรรค์ร่วมกัน” (Co-creation) ซึ่งทำให้วิธีแก้ปัญหานั้นๆ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกยัดเยียด แต่เป็นสิ่งที่ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง และนำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
2026 ปีแห่งอาสาสมัครสากล: วาระโลกที่ไทยต้องพร้อม
ด้วยพลังและบทบาทที่สำคัญนี้ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจึงได้มีมติประกาศให้ปี 2026 เป็น “ปีแห่งอาสาสมัครสากลเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” (International Year of Volunteers for Sustainable Development) ซึ่งนับเป็นวาระสำคัญที่เกิดขึ้นในรอบ 25 ปี ต่อจากปีอาสาสมัครสากลครั้งแรกในปี 2001 การประกาศนี้ไม่ใช่เพียงการเฉลิมฉลอง แต่เป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า “อาสาสมัคร” คือกลไกและพลังขับเคลื่อนที่จำเป็นอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ให้สำเร็จลุล่วง
เป้าหมายหลักของวาระนี้คือการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในงานอาสาสมัครเพิ่มขึ้น และผลักดันให้รัฐบาลทั่วโลกสร้าง “สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย” (Enabling Environment) ให้งานอาสาสมัครเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ สหประชาชาติจึงได้เชิญชวนให้รัฐบาลทุกประเทศใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการ 4 ด้านหลัก เริ่มจากการทบทวนนโยบายและกฎหมายเพื่อขจัดอุปสรรคและส่งเสริมการทำงานของอาสาสมัคร การสร้างระบบและมาตรฐานเพื่อรับรองความปลอดภัยและประสิทธิภาพ การจัดทำข้อมูลและงานวิจัยเพื่อวัดผลกระทบของงานอาสาสมัครอย่างเป็นรูปธรรม และสุดท้ายคือการเปิดพื้นที่ให้อาสาสมัครมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการพัฒนาในทุกระดับ เพื่อนำเสียงสะท้อนจากภาคสนามมาใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ก้าวต่อไปของอาสาสมัครไทย: รู้จัก‘ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติ’
เพื่อขานรับกับวาระสำคัญระดับโลกและยกระดับงานอาสาสมัครในประเทศให้เป็นระบบ ประเทศไทยได้จัดตั้ง “ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติ” ขึ้น โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานราชการ แต่เป็นกลไกกลางที่ทำงานร่วมกับคณะทำงานและคณะอนุกรรมการจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของงานอาสาสมัครให้แข็งแกร่ง
ภารกิจหลักของศูนย์ฯ คือ การผลักดันให้งานอาสาสมัครเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างระบบที่สนับสนุนให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงโอกาสในการเป็นอาสาสมัครได้อย่างเท่าเทียม ควบคู่ไปกับ การพัฒนาระบบและมาตรฐานการบริหารจัดการโดยล่าสุดได้มีการพัฒนา “แนวปฏิบัติสำหรับองค์กรอาสาสมัคร” ขึ้น และกำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้กับ 10 องค์กรต้นแบบ เพื่อสร้างมาตรฐานกลางในการทำงานที่มีคุณภาพและปลอดภัย
นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังให้ความสำคัญกับ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยกำลังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ เพื่อพัฒนาหลักสูตร “นักจัดการงานอาสาสมัคร” ที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบหลังบ้าน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ และท้ายที่สุดคือ การสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้และเชิดชูเกียรติ ผ่านการจัดกิจกรรมในวันอาสาสมัครไทย (27 กันยายน) และวันอาสาสมัครสากล (5 ธันวาคม) ของทุกปี
ในปี 2026 ที่จะถึงนี้ ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติจะเป็นแกนหลักในการจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองวาระปีแห่งอาสาสมัครสากล โดยจะใช้ช่วงเวลาระหว่างวันที่ 27 กันยายน ถึง 5 ธันวาคม เป็นเทศกาลแห่งการให้ เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และแสดงให้โลกเห็นถึงพลังของอาสาสมัครไทย
สุดท้ายนี้ คำกล่าวของนักมานุษยวิทยาชื่อดัง มาร์กาเร็ต มีด (Margaret Mead) ยังคงเป็นจริงเสมอว่า “อย่าได้สงสัยในพลังของคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มุ่งมั่น ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนโลกได้ เพราะแท้จริงแล้ว ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในโลก ล้วนเกิดขึ้นจากคนกลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้เท่านั้น”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Self-Care, Value, AI: 3 กุญแจสำคัญปฏิวัติสุขภาพไทย
“สมรสเท่าเทียม” ก้าวแรกที่ไม่ใช่เส้นชัยชี้ช่องว่างกฎหมายที่ต้องแก้