Share on
×

Share

‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

ขณะที่การเมืองบ้านเราชุลมุนวุ่นวายยังไม่รู้จะจบอย่างไร หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากปัญหาจริยธรรมในกรณีคลิปเสียงเจรจากับ “ฮุน เซน” ประธานสภาฯ กัมพูชาหลุดสู่สาธารณะ ทำให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ต้องเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทยกำลังชิงไหวชิงพริบเป็นแกนนำในการจัดตั้ง

ประเทศไทยต้องกลับสู่วังวนสุญญากาศอีกครั้ง คงกินเวลาอย่างน้อย ๆ ไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือนกว่าจะตั้งได้ และไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่จะเรียกความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้ารัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ก็มีแนวโน้มนับถอยหลังเลือกตั้ง ช่วงนี้ข้าราชการจะปล่อยเกียร์ว่าง นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติก็คงชะลอการลงทุนไปก่อน ประชาชนก็อาจจะต้องชะลอการใช้จ่ายจนกว่าจะมั่นใจอนาคต เศรษฐกิจก็ชะลอตาม

การเมืองกับเศรษฐกิจจึงเป็นคู่แฝดแยกกันไม่ออก กว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาการเมืองไทยลุ่ม ๆ ดอน ๆ เศรษฐกิจก็ถอยหลังทุก ๆ ปี จีดีพีต่ำลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานว่า GDP ของไทยไตรมาส 2 ปี 2025 ขยายตัว 2.8% ชะลอตัวลงจากการเติบโต 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้า จากรายงานดังกล่าวทำให้ไทยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่อันดับ 6 ของอาเซียนเกือบจะ ‘ต่ำที่สุด’ ขณะที่ส่วนใหญ่ ‘ปรับตัวดีขึ้น’ แต่ที่โดดเด่นที่สุด ไม่พ้นเวียดนาม จีดีพีเติบโตนำโด่ง 8.0%

นับตั้งแต่สงครามเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้สงบลงหลังจากยืดเยื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษ เวียดนามก็เริ่มเปิดประเทศรับนักลงทุนจากต่างชาติ นักลงทุนกลุ่มใหญ่ในยุคแรก ๆ คือกลุ่มทุนใหญ่จากเกาหลี “แชโบล” แต่ในยุคหลัง ๆ โดยเฉพาะช่วงที่จีนกับสหรัฐมีปัญหา “สงครามการค้า” บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างพากันย้ายฐานหนีจีนมาลงทุนมากขึ้น เวียดนามจึงกลายเป็นสวรรค์ของนักลงทุนต่างชาติ ความที่เวียดนามมีรัฐบาลพรรคเดียว จึงมีเสถียรภาพและนโยบายมีความต่อเนื่องทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น

แต่สิ่งที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนจริง ๆ เกิดขึ้นในปี 2020 โดยรัฐบาลได้จ้างมือกฎหมายระดับโลกทำการปฏิรูปกฎหมายยกเครื่องการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและกฎเกณฑ์ที่ยุ่งยากลง เปิดทางให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนได้ง่าย เช่น การจดทะเบียนบริษัทหรือการจัดตั้งบริษัทก็ง่ายขึ้น หรือการจัดทำ Negative list โดยจะระบุชัดเจนให้นักลงทุนรู้ว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ เพื่อสร้างความโปร่งใส และอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ ได้มากขึ้น

ที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามพยายามเร่งเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในอาเซียน สหภาพยุโรป และเอเชียตะวันออกอย่างจริงจัง ทำให้สินค้าที่ผลิตในเวียดนามเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ได้ง่าย ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติไหลทะลักเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 20-30 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับไทยที่นักลงทุนต่างชาติลดลงต่อเนื่องเช่นกัน ทุกวันนี้ เวียดนามได้กลายเป็นฐานผลิตสำคัญของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้ง Samsung, LG, Intel และ Foxconn เป็นต้น

นอกจากการปฏิรูปกฎหมายสำเร็จแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศปฏิรูประบบราชการยุบรวมกระทรวงบางกระทรวงเข้าด้วยกัน เช่น กระทรวงวางแผนการลงทุนกับกระทรวงคลัง กระทรวงคมนาคมกับกระทรวงก่อสร้าง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติกับกระทรวงเกษตรและชนบท เป็นต้น ลดหน่วยงานรัฐจาก 30 หน่วยงาน เหลือ 17 หน่วยงาน ปลดและย้ายข้าราชการได้ 100,000 คน รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างระดับจังหวัดและท้องถิ่น ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวมากขึ้น

ข้อได้เปรียบของเวียดนามอีกอย่างคือเวียดนามมีประชากรกว่า 100 ล้านคน มีคนหนุ่มคนสาวอยู่ในวัยทำงานเป็นฐานแรงงานขนาดใหญ่ ค่าแรงต่ำ มีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น การที่คนวัยทำงานเป็นฐานใหญ่ทำให้เวียดนามมีกำลังซื้อสูง อีกทั้งการลงทุนช่วยยกระดับชนชั้นแรงงานมาเป็นชนชั้นกลาง พฤติกรรมการใช้ชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป มีการจับจ่ายใช้สอยง่ายขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญให้นักลงทุนตัดสินใจเข้าไปลงทุน

แรงงานเวียดนามได้รับการกล่าวขานว่าค่าแรงไม่สูงแต่ขยันขันแข็ง เป็นแรงงานมีทักษะ มีแรงงานด้านวิศวกรรมและไอทีรองรับอุตสาหกรรมไฮเทค อีกทั้งรัฐบาลเวียดนามมีการลงทุนด้าน STEM คือ การลงทุนระบบการศึกษาเน้นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ และยังให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษค่อนข้างมาก รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาอย่างมาก โดยตั้งเป้าหมายมีระบบการศึกษาดีที่สุดอันดับ 20 ของโลกภายในปี 2045

ด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ เวียดนามขยายฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลซึ่งมีมูลค่าสูงและมีศักยภาพในอนาคต ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ อุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป การท่องเที่ยว และสินค้าเกษตรดั้งเดิม จึงไม่แปลกใจที่เศรษฐกิจเวียดนามโตอย่างต่อเนื่อง 6-7% ต่อปีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หากรักษาระดับนี้ได้ เวียดนามจะไล่ทันรายได้ต่อหัวของไทยไม่ยาก แม้ข้อมูลล่าสุดในปี 2567 รายได้ต่อหัวเวียดนามจะน้อยกว่าไทยกว่าครึ่ง (รายได้ต่อหัวคนเวียดนาม 4,500-4,700 ดอลลาร์สหรัฐ/หัว ส่วนไทย 7,300-8,000 ดอลลาร์สหรัฐ/หัว) ขณะที่ขนาด GDP ไทยอยู่ที่ 526 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเวียดนามอยู่ที่ 476 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยสูงกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าจีดีพียังโตต่อเนื่องอย่างที่เป็นอยู่ คาดกันว่าไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจเวียดนามจะไล่ตามและแซงหน้าไทยในที่สุด

จากประเทศบ้านแตกสาแหรกขาด เศรษฐกิจพังย่อยยับไม่มีอนาคต แต่วันนี้เวียดนามกำลังผงาดเป็นเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย หายใจรดต้นคอไทยใกล้ขึ้นทุกที

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ภาษีทรัมป์ 19% ‘ส่งออกไทย’ ยังไงก็หนัก

‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทก์ที่ท้าทาย

ระบบอุปถัมภ์-ข้าราชการ กับดักสู่ปัญหาวิกฤติของชาติ

×

Share

แท็กที่เกี่ยวข้อง