ท่ามกลางโลกที่เผชิญความผันผวนรุนแรง และเมกะเทรนด์กำลังเปลี่ยนทิศทางอนาคตอย่างถาวร คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยจะหาทางรอดและคว้าโอกาสใหม่ได้อย่างไรในภูมิทัศน์ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป วิสัยทัศน์และคำตอบสำหรับโจทย์ใหญ่ของประเทศนี้ ถูกนำเสนอผ่านมุมมองของสองนักคิดและนักยุทธศาสตร์ชั้นนำ ได้แก่ ปิยะชาติ อิศรภักดีประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท BRANDi and Companies และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.)
โดยทั้งสอง ได้ร่วมกันวิเคราะห์ทิศทางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกบนเวทีเสวนา “Global Headline: Shifting the Global Megatrends” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานประชุมเทคโนโลยีระดับนานาชาติ KBTG Techtopia 2025 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “At World’s Beginning” บทสนทนาของทั้งสองได้ฉายภาพอนาคตที่ทั้งท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาส พร้อมชี้แนวทางให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
โลกที่ “ตื่นตูม แตกแยก ตีบตัน และตกต่ำ” สู่สมดุลอำนาจใหม่
ภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรง ถูกฉายให้เห็นอย่างชัดเจน โดยปิยะชาติให้คำนิยามสภาวะปัจจุบันว่าเป็นโลกที่เผชิญกับ “4 ต.” คือ ตื่นตูม แตกแยก ตีบตัน และตกต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้ภูมิทัศน์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร
เขาอธิบายว่าโลกกำลังอยู่ในสภาวะ “ตื่นตูม” จากวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งโรคระบาด สงคราม และภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ผู้คนและองค์กรไม่มีเวลาได้หยุดพักเพื่อฟื้นตัว นำไปสู่สภาวะ “แตกแยก” ที่เห็นได้ชัดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่บีบให้หลายประเทศต้องเลือกข้าง ทำลายระเบียบโลกที่เคยพึ่งพิงกันและกัน
สภาวะเช่นนี้นำไปสู่ความ “ตีบตัน” ในการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ยุคสมัยของอัตราดอกเบี้ยต่ำและการเติบโตที่สดใสได้สิ้นสุดลง และสุดท้ายคือความ “ตกต่ำ” ทางความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีต่อสถาบันต่าง ๆ และต่ออนาคตของตนเอง
ปิยะชาติชี้ว่า ผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ คือการเปลี่ยนผ่านสู่ “โลกสามขั้ว” (Tripolar World) ที่ขั้วอำนาจเก่าอย่างสหรัฐฯ และจีนจะถูกถ่วงดุลโดยยุโรปที่กลับมามีบทบาทสำคัญมากขึ้น ทำให้สมการอำนาจโลกซับซ้อนกว่าที่เคยเป็น
ทว่าในความท้าทายนี้เอง ดร.สันติธาร กลับมองเห็นโอกาสครั้งสำคัญที่ซ่อนอยู่ เขามองว่าสภาวะ “แตกแยก” และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ได้บังคับให้บรรษัทข้ามชาติต้องทบทวนห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของตนเองครั้งใหญ่ นโยบาย “China +1” ที่เคยเป็นเพียงทางเลือก กำลังจะกลายเป็นความจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยง
และในจังหวะนี้เองที่ภูมิภาค “อาเซียน” ได้กลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่น่าดึงดูดใจที่สุด ด้วยที่ตั้ง ความเป็นกลาง และศักยภาพในการเติบโต ทำให้เม็ดเงินลงทุนและการย้ายฐานการผลิตหลั่งไหลมายังภูมิภาคนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น แม้โลกเก่าจะตีบตันและแตกแยก แต่สำหรับอาเซียนแล้ว นี่คือรุ่งอรุณแห่งโอกาสครั้งใหม่ในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญบนเวทีโลก
4 เมกะเทรนด์สำคัญกำหนดทิศทางอนาคต
ดร.สันติธาร ชี้ให้ถึง 4 มหาคลื่นยักษ์แห่งความเปลี่ยนแปลง หรือเมกะเทรนด์ ที่ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นแนวโน้มเชิงโครงสร้างที่จะเข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและสังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- เมกะเทรนด์แรก คือ AI & Automation ซึ่งเป็นคลื่นที่ชัดเจนและรุนแรงที่สุด ปัญญาประดิษฐ์ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเครื่องมือทุ่นแรง สู่การเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของทุกอุตสาหกรรม มันคือดาบสองคมที่ด้านหนึ่งสามารถเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างมหาศาล แต่อีกด้านหนึ่งก็จะเข้ามาท้าทายตลาดแรงงานและรูปแบบการทำงานเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง การปรับตัวและเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill/Upskill) จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการอยู่รอดสำหรับทุกคน
- เมกะเทรนด์ที่สอง คือ Geopolitics หรือภูมิรัฐศาสตร์ที่เปรียบเสมือน “มือที่มองไม่เห็น” ที่กำลังจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ได้นำไปสู่การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Slowbalisation) และการสร้างกำแพงทางการค้า ทำให้ธุรกิจทั่วโลกต้องหันมาทบทวนห่วงโซ่อุปทานเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทิศทางการลงทุนและการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคที่มีความเป็นกลางและมีศักยภาพอย่างอาเซียน
- เมกะเทรนด์ที่สาม คือ Green Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งได้กลายเป็นวาระระดับโลกที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ปัจจัยขับเคลื่อนไม่ได้มาจากเพียงความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังมาจากแรงกดดันของ “ทุนสีเขียว” (Green Capital) และ “ผู้บริโภคสีเขียว” (Green Consumer) ที่ต้องการสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านนี้สร้างทั้งความท้าทายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจมหาศาลในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
- เมกะเทรนด์สุดท้าย คือ Aging Society & Care Economy สังคมสูงวัยเป็นคลื่นที่เคลื่อนตัวช้าแต่ทรงพลังและจะส่งผลกระทบในระยะยาวอย่างยิ่งยวด อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้ได้ก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “Care Economy” ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดูแลผู้สูงอายุ แต่ครอบคลุมระบบนิเวศทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ตั้งแต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) โภชนาการและอาหารเพื่อสุขภาพ บริการด้าน Wellness และสุขภาพจิต ไปจนถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงวัย (AgeTech) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยมีศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันสูง
จาก “ทุนนิยม” สู่ “ทุนนิยมที่ยั่งยืน” (Sustainomy)
ท่ามกลางโลกที่เผชิญสภาวะ “4 ต.” การยึดมั่นในระบบทุนนิยมรูปแบบเดิมที่มุ่งเน้นเพียงผลกำไรสูงสุด (Profit Maximization) เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนของโลกปัจจุบันได้อีกต่อไป
ปิยะชาตินำเสนอแนวคิด “Sustainomy” หรือ ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นนิยามใหม่ของทุนนิยมในอนาคต ที่ไม่ได้มองว่าความยั่งยืนเป็นเพียงกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แต่เป็นแก่นกลางของยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ
แนวคิด Sustainomy คือการ “นิยามคุณค่าของความสำเร็จใหม่” โดยความสำเร็จของธุรกิจจะไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขผลกำไร (Profit) เพียงมิติเดียวอีกต่อไป แต่ต้องสร้างสมดุลระหว่าง 3 องค์ประกอบหลัก คือ ผู้คน (People) โลก (Planet) และผลกำไร (Profit) ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าผลกำไรที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง จะต้องเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจที่เคารพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม และต้องไม่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม
หัวใจสำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการเปลี่ยนบทบาทของ “เงิน” จากเดิมที่เคยเป็นเป้าหมายสูงสุด ให้กลายเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้คนและโลก ในระบบเศรษฐกิจแบบ Sustainomy ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่สามารถระบุและแก้ไขปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลกำไรจะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาเพื่อหล่อเลี้ยงให้ภารกิจนั้นสามารถดำเนินต่อไปและขยายผลได้
กลไกที่จะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจนี้ให้เกิดขึ้นได้จริง คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “แข่งขันเพื่อเอาชนะ” (Compete to Win) ซึ่งเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะ (Zero-Sum Game) ไปสู่การ “ร่วมมือเพื่อเติบโต” (Collaborate to Grow) ซึ่งเป็นเกมที่ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปด้วยกันได้ (Positive-Sum Game) เพราะปัญหาระดับโลกอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือความเหลื่อมล้ำนั้นใหญ่เกินกว่าที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งหรือประเทศใดประเทศหนึ่งจะแก้ไขได้โดยลำพัง ความร่วมมือจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นหนทางรอดเดียวที่จะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ทางรอดและโอกาสของประเทศไทย
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของโลก วิทยากรทั้งสองท่านได้ให้มุมมองต่อทางรอดและโอกาสของประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจ โดยแม้จะมีแนวทางที่แตกต่าง แต่กลับมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและแข็งแกร่งให้กับประเทศ
ดร.สันติธารชี้ว่า หนึ่งในโอกาสที่ชัดเจนที่สุดของไทยอยู่ใน Care Economy หรือระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นตลาดโลกขนาดมหึมาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยมีศักยภาพสูงอยู่แล้ว เขาย้ำว่า Care Economy ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรักษาพยาบาล แต่ครอบคลุมระบบนิเวศทั้งหมด ตั้งแต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Healthcare) ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ บริการด้าน Wellness และสุขภาพจิต ไปจนถึงการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นจุดแข็งที่ไทยสามารถต่อยอดได้ทันที โดยอาศัยชื่อเสียงด้านบริการทางการแพทย์และการบริการที่เป็นเลิศ
อย่างไรก็ตาม การจะคว้าโอกาสนี้ได้ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ นั่นคือการมี “Challenger Mindset”หรือ “ทัศนคติของผู้ท้าชิง” ซึ่งแตกต่างจาก Champion Mindset ที่มักจะยึดติดกับความสำเร็จเดิม ๆ และกลัวการเปลี่ยนแปลง แต่ Challenger Mindset คือการมองว่าตนเองยังเป็นผู้ท้าชิงที่ต้องวิ่งไล่ตามอยู่เสมอ จึงกล้าที่จะเสี่ยงและมองว่าทุกการเปลี่ยนแปลงคือโอกาสในการก้าวกระโดด
เขาได้ยกตัวอย่างประเทศเวียดนามที่กำลังปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการก้าวสู่เวทีโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องเรียนรู้ เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาทุนมนุษย์ การสนับสนุนภาคเอกชน และการสร้าง “แชมป์เปี้ยนของชาติ” ให้สามารถเติบโตและแข่งขันในห่วงโซ่มูลค่าโลกได้อย่างแท้จริง
ในขณะที่ ปิยะชาติย้ำว่า ก่อนจะคว้าโอกาสใด ๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลับมาทบทวนและค้นหาจุดแข็งที่แท้จริงของตนเองให้พบ หรือที่เรียกว่า Core Competency แทนที่จะวิ่งไล่ตามกระแสโลกอย่างไร้ทิศทาง เขาเสนอแนวทาง 3 ขั้นตอนคือ Discover the Core (ค้นหาแก่นแท้และจุดแข็งของตัวเองให้เจอ), Empower the Core (เผชิญหน้ากับความท้าทายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่นนั้น) และ Grow from the Core (ใช้จุดแข็งนั้นเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน)
เมื่อค้นพบจุดแข็งแล้ว กลไกที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับประเทศได้ คือการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน (Public-Private-People Partnership) อย่างจริงจัง เพื่อผนึกกำลังและทรัพยากรในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติไปในทิศทางเดียวกัน การปฏิรูปเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและต้องอาศัยการลงทุนมหาศาลจะสำเร็จไม่ได้หากปราศจากความร่วมมือที่แข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม
บทสรุปจากทั้งสองมุมมองสะท้อนให้เห็นว่า ทางรอดและโอกาสของประเทศไทยในโลกยุคใหม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแสวงหาสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมี แต่คือการ “ต่อยอด” จากรากฐานที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการมี “ทัศนคติ” ที่กล้าหาญและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนบนเวทีโลกต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โจทย์ใหม่ท่องเที่ยวไทย: ก้าวข้ามการฟื้นตัวสู่ ‘คุณภาพ’
‘Health Tech’ S-Curve ใหม่ ขับเคลื่อนอนาคตสาธารณสุขไทย