นิยามของ “อาหาร” กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เป็นเพียงปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพ วันนี้อาหารได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน สร้างเสริมความงาม และยกระดับคุณภาพชีวิต
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมโลก ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) อย่างเต็มรูปแบบ
ซึ่งทำให้ผู้คนมองหาโภชนาการที่ช่วยชะลอวัยและเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น กระตุ้นให้เกิดความต้องการอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค กระแสการดูแลสุขภาพจากภายใน (Beauty from Within) ที่เชื่อมโยงความงามเข้ากับโภชนาการ และท้ายที่สุดคือเทรนด์โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) ที่ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคแต่ละราย
โจทย์สำคัญในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การมีอายุขัยที่ยืนยาว (Lifespan) แต่คือการมีช่วงชีวิตที่เปี่ยมด้วยสุขภาวะที่ดีและแข็งแรง (Healthspan) แนวคิดนี้ได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรม “อาหารแห่งอนาคต”
มุมมองผู้เชี่ยวชาญต่อทิศทางอุตสาหกรรม
ดร.ภณธกร วงศ์เจริญ กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหาร เครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีโอกาสมหาศาลในตลาดผู้สูงวัย ซึ่งไม่ได้มองแค่การมีอายุยืนยาว (Lifespan) แต่ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะที่ดี (Healthspan) โดยเฉพาะการรับมือกับภาวะกล้ามเนื้อสลาย (Sarcopenia) ซึ่งทำให้โปรตีนคุณภาพสูงกลายเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ เขายังมองเห็นการเติบโตของตลาดอาหารฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ความงามจากภายใน (Beauty from Within) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าจับตามอง
พานุศักดิ์ พลาวัสถ์พงษ์ อุปนายกและประธานกลุ่มผู้ผลิตเครื่องปรุงและอาหารพร้อมรับประทาน สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า ต้นตอของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ส่วนใหญ่มาจากการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งสะท้อนผ่านค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ที่สูงเกินเกณฑ์ ดังนั้น โอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมคือการคิดค้นและใช้ส่วนผสมอาหารฟังก์ชัน (Functional Ingredients) ที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อทดแทนส่วนผสมเดิม ๆ ที่เป็นอันตราย และเปลี่ยนอาหารในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นยาป้องกันโรค ดังนั้นจึงเชื่ออาหารเป็นยา และอย่าเอายาเป็นอาหาร
ในมุมมองของภาควิชาการ ผศ.ดร.พิสิฏฐ์ ธรรมวิถี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมคณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) กล่าวว่า บทบาทของสถาบันการศึกษาต้องเปลี่ยนไปจากเดิมที่ทำการวิจัยตามความสนใจ มาสู่การตั้งโจทย์วิจัยจากปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของสังคมและภาคธุรกิจเพื่อให้งานวิจัยที่เกิดขึ้นสามารถนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้จริง โดยยกตัวอย่างกลุ่มวิจัยที่มีศักยภาพสูง เช่น โปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) จากพืชหรือแมลง และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Health Food & Beverage) ซึ่งล้วนตอบโจทย์เทรนด์โลก
ขณะที่ นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่า แม้ปัจจุบันจะเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีอินฟลูเอนเซอร์เป็นผู้ขับเคลื่อน แต่ก้าวต่อไป คือการสร้างความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้น ส่วนการจะผลักดันสินค้าไทยสู่เวทีโลกนั้น จะเป็นต้องใช้จุดแข็งและความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมอาหารไทยเป็นสปริงบอร์ด และที่สำคัญ คือต้องหันมาพัฒนาวัตถุดิบและส่วนผสมที่มีอัตลักษณ์ของไทยเอง เพื่อสร้างความแตกต่างและลดการพึ่งพาการนำเข้า
โอกาสและความท้าทาย: ก้าวต่อไปของอุตสาหกรรมอาหารไทย
แม้ประเทศไทยจะมีจุดแข็งและโอกาสเติบโตมหาศาลในตลาดโลก ซึ่งคาดการณ์ว่ามีมูลค่าสูงกว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่การจะคว้าโอกาสนั้นมาได้ อุตสาหกรรมยังคงเผชิญความท้าทายสำคัญที่ต้องเร่งปลดล็อก
ดร.ภณธกร กล่าวว่า มี 3 อุปสรรคหลัก ประการแรกคือ ช่องว่างทางเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังคงพึ่งพิงเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ขาดความสามารถในการใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การกักเก็บสารสำคัญ (Encapsulation) เพื่อคงคุณค่าวิตามินหรือกลิ่นรสตามธรรมชาติไว้ในกระบวนการผลิต ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
ประการที่สองคือ การขาดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในเชิงลึก ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างอุตสาหกรรมที่เน้นการรับจ้างผลิต (OEM) มายาวนาน ทำให้ขาดการสร้างนวัตกรรมที่เป็นของตนเอง การจะก้าวข้ามจุดนี้ได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือที่แข็งแกร่งจากทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยที่นำไปสู่การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์
ประการสุดท้ายคือ การขาดความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน แม้ไทยจะอุดมไปด้วยพืชสมุนไพรและวัตถุดิบทางการเกษตร แต่ยังไม่สามารถดึงศักยภาพออกมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มที่ ขาดการวิจัยเพื่อสกัดสารสำคัญ (Active Ingredients) ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
และที่สำคัญที่สุดคือ อุปสรรคด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง Positive List ซึ่งกลไกปัจจุบันไม่เอื้อให้นักลงทุนกล้าทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อวิจัยและขึ้นทะเบียนสารใหม่ ๆ เนื่องจากเมื่อขึ้นทะเบียนสำเร็จแล้ว ผู้อื่นสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนเอง ประเด็นนี้จึงถือเป็นตัวปลดล็อกที่สำคัญที่สุด ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างนวัตกรรมในประเทศอย่างแท้จริง
จาก ‘ครัวของโลก’ สู่ ‘ศูนย์กลางนวัตกรรมส่วนผสมอาหาร’
เส้นทางการเติบโตของอุตสาหกรรมส่วนผสมอาหาร (Food Ingredient) ในประเทศไทยนั้น จะเกิดขึ้นได้จากการผสมผสานองค์ประกอบสำคัญหลายมิติเข้าด้วยกัน ตั้งแต่การยึดมั่นในมาตรฐานและความปลอดภัยระดับสากล การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและงานวิจัยเชิงลึก การสร้างแบรนด์และการตลาดที่แข็งแกร่งในระดับโลก ไปจนถึงการดำเนินธุรกิจบนหลักการแห่งความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
รุ้งเพชร ชิตานุวัตร์ ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ ภูมิภาคอาเซียน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่จะร้อยเรียงทุกส่วนเข้าด้วยกันคือ “ความร่วมมือ”ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิชาการ หากสามารถผนึกกำลังกันได้อย่างไร้รอยต่อ ประเทศไทยย่อมมีศักยภาพเพียงพอที่จะก้าวข้ามบทบาท “ครัวของโลก” (Kitchen of the World) ไปสู่การเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมส่วนผสมอาหารแห่งเอเชีย” ได้อย่างแท้จริงในอนาคต
วิสัยทัศน์ดังกล่าวจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาและผลิตส่วนผสมอาหารฟังก์ชัน (Functional Ingredients) ที่มีมูลค่าสูง เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ โปรตีนจากพืช สารเสริมภูมิคุ้มกัน และส่วนผสมชะลอวัย ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและผู้บริโภคที่รักสุขภาพได้อย่างตรงจุด แต่ยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเฉพาะทาง (Specialty Ingredients) จากต่างประเทศ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงโภชนาการที่ดีขึ้น และช่วยลดภาระด้านสาธารณสุขของประเทศในระยะยาว
ศักยภาพนี้สะท้อนภาพชัดเจนในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องตลอดปี 2568 ด้วยมูลค่าที่อาจสูงถึง 90,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตราว 7-9% โดยมีแรงหนุนสำคัญจากผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน อาหารบำรุงสมอง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวพรรณ ในสมรภูมินี้ ผู้ประกอบการไทยมีความได้เปรียบจากวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถนำมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ควบคู่ไปกับมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ ทั้งในเรื่องต้นทุนเทคโนโลยีที่สูงและการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งต่างชาติ ดังนั้น การเข้าถึงนวัตกรรมและการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในระดับโลกจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จและความอยู่รอดในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้
The Grand Stage: เวทีระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯ
เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการตอบสนองต่อเทรนด์แห่งอนาคตและเชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจเหล่านี้ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (Informa Markets) จึงได้จัดงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมส่วนผสมอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย Food Ingredients Asia 2025 (FI Asia 2025) และ Vitafoods Asia 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมกันระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
งานในปีนี้จะเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญบนพื้นที่กว่า 2 ฮอลล์ใหญ่ของศูนย์ฯ สิริกิติ์ โดยรวบรวมผู้จัดแสดงกว่า 1,400 ราย จาก 70 ประเทศ และคาดว่าจะดึงดูดผู้ซื้อและผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้มากถึง 36,000 ราย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับนวัตกรรมและองค์ความรู้ล่าสุดอย่างเต็มศักยภาพ งานถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าพื้นที่จัดแสดงสินค้า แต่เป็น “Ecosystem” ที่สมบูรณ์แบบ ผ่านกิจกรรมและโซนพิเศษมากมาย
ภายในงานจะอัดแน่นไปด้วยเวทีสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 100 หัวข้อ ที่จะมาเจาะลึกเทรนด์ผู้บริโภคล่าสุด นวัตกรรมการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับด้านฮาลาล ไปจนถึงกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสังคมผู้สูงวัย
นอกจากนี้ยังมีโซน Academic to Commercial (A2C) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการเชื่อมโยงผลงานวิจัยกว่า 10,000 ชิ้นจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยทั่วประเทศ ให้ได้พบกับนักลงทุนและภาคธุรกิจ เพื่อนำองค์ความรู้จากหิ้งไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์
เพื่อช่วยให้ผู้เข้าชมงานสามารถค้นพบนวัตกรรมที่ตรงกับความต้องการท่ามกลางผู้จัดแสดงจำนวนมาก จึงได้จัด Innovation Tour ทัวร์นำชมแบบมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญในเส้นทางเฉพาะทาง เช่น กลุ่มโปรตีนทางเลือก หรือกลุ่มสุขภาพองค์รวม ควบคู่ไปกับ Innovation Zone ที่จะจัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น เยลลี่พร้อมทานในซองฟอยล์ และ Testing Bar ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทดลองชิมและสัมผัสกับส่วนผสมใหม่ ๆ ที่พร้อมทำการตลาดได้ทันที เช่น คอลลาเจน วิตามิน และสารสกัดต่าง ๆ
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ การประกวดผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (Innovative Product Contest) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักศึกษาและผู้ประกอบการ SME ได้นำเสนอผลงานสร้างสรรค์เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 400,000 บาท โดยหลายผลงานจากปีก่อน ๆ สามารถต่อยอดสู่การผลิตจริงและขายลิขสิทธิ์ได้สำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่างานนี้คือเวทีแห่งโอกาสอย่างแท้จริงที่จะเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นธุรกิจ
งาน Food Ingredients Asia และ Vitafoods Asia 2025 จึงไม่ใช่เพียงงานแสดงสินค้า แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยให้ก้าวข้ามความท้าทาย สร้างสรรค์นวัตกรรม และเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
แก้ปัญหาฝุ่นผิดทาง? ส่อง 3 ความเชื่อที่ต้องเลิก ถ้าอยากได้อากาศดีคืนมา
รพ.วิมุตพลิกเกมสู่ ‘Tertiary Care’ เจาะตลาดโรคซับซ้อนด้วยโมเดล ‘Health to Home’