ในยุคที่โลกเผชิญกับโรคอุบัติใหม่และวิกฤติสุขภาพที่ไม่เคยหยุดนิ่ง การมีชีวิตที่ยืนยาวอาจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดอีกต่อไป แต่คือการมี “ชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ”
แนวคิดนี้ถูกตอกย้ำบนเวท “Surviving Smartly: Health Tech and Coping with Emerging Diseases and Disasters in an Uncertain World” ในงาน KBTG Techtopia 2025 โดย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้ให้อนาคตของเทคโนโลยีสุขภาพที่จะเข้ามาเปลี่ยนนิยามของการมีชีวิตที่ดี ตั้งแต่การป้องกัน การรักษา ไปจนถึงการดูแลตนเอง
รศ.นพ.ฉันชาย เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ชวนให้ฉุกคิดว่า “พวกท่านทราบไหมว่าจะตายอย่างไร?” ก่อนจะให้ข้อมูลว่า 80% ของคนในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคแห่งความเสื่อมต่าง ๆ ซึ่งโรคเหล่านี้จะค่อย ๆ บั่นทอนคุณภาพชีวิต ทำให้ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมาน (Morbidity) ยาวนานขึ้น
เป้าหมายสำคัญในปัจจุบันจึงไม่ใช่แค่การมีอายุขัย (Lifespan) ที่ยาวนาน แต่คือการยืดช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี (Healthspan) ให้ยาวที่สุด และลดช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วยให้สั้นที่สุด ซึ่งเทคโนโลยีสุขภาพคือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายนี้ได้
เจาะลึก 8 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกการแพทย์
เพื่อตอบโจทย์การมีสุขภาพดีที่ยั่งยืน รศ.นพ.ฉันชาย ได้นำเสนอ 8 เทคโนโลยีสุขภาพสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังถูกนำมาใช้จริงในประเทศไทย เพื่อตอบวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ การป้องกันและตรวจจับโรคได้เร็วขึ้น การเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ป่วยดูแลตนเองได้ และการพัฒนาการรักษาใหม่ ๆ ที่ให้ผลลัพธ์ดีขึ้นและทุกคนเข้าถึงได้
- Genetics และ Genomics: เทคโนโลยีด้านพันธุศาสตร์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากอดีตที่โครงการ Human Genome Project ใช้เวลาถึง 14 ปี และงบประมาณหลายร้อยล้านดอลลาร์ในการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ 3,000 ล้านคู่เบส ปัจจุบันสามารถทำได้ในเวลาเพียง 7 วัน ทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงมะเร็ง หรือการแพ้ยาบางชนิดได้ล่วงหน้า โครงการ “Genomics Thailand” ได้ศึกษาจีโนมของคนไทยกว่า 50,000 คน เพื่อสร้างฐานข้อมูลสำหรับการป้องกันและรักษาโรคที่จำเพาะกับคนไทยโดยเฉพาะ
- Omics และ Epigenetics: เป็นการศึกษาที่ลึกไปกว่าจีโนม โดยดูการแสดงออกของยีนที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก เช่น สิ่งแวดล้อมและอาหาร ซึ่งจะช่วยไขความลับว่าเหตุใดคนที่มี DNA เหมือนกัน (เช่น ฝาแฝด) จึงมีสุขภาพหรือเป็นโรคต่างกันได้ ปัจจุบันมีการทำโครงการศึกษาวิจัยกลุ่มผู้สูงอายุไทยแบบ “Multi-omics” คือวัดตั้งแต่จีโนม, โปรตีน, RNA ไปจนถึงผลผลิตของเซลล์ เพื่อค้นหาปัจจัยที่แท้จริงของความแก่ชราและความเสื่อมของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่การไขรหัส “นาฬิกาชีวภาพ” (Biological Clock) และศาสตร์ชะลอวัยในอนาคต
- Disease Surveillance: การเฝ้าระวังโรคระบาดคือหัวใจสำคัญในการรับมือวิกฤติสุขภาพ ดังเช่นช่วงโควิด-19 ที่ศูนย์ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ (EID) ของจุฬาฯ และสภากาชาดไทย สามารถวินิจฉัยเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่จากผู้ป่วยที่มาจากอู่ฮั่นได้เป็นที่แรกของโลก ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบที่ผนวกข้อมูลจีโนมของเชื้อเข้ากับข้อมูลอาการทางคลินิกของผู้ป่วย ทำให้สามารถพยากรณ์ความรุนแรงของโรคและเตรียมการรักษาได้อย่างแม่นยำ เช่น การคาดการณ์ว่าผู้ป่วยโควิดรายใดมีความเสี่ยงต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
- Self-Care และ Health Literacy: การดูแลตนเองคือบทบาทที่สำคัญที่สุดของทุกคน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือการรับมือกับข้อมูลสุขภาพที่ผิด ๆ (Misinformation) ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า วิดีโอสุขภาพใน TikTok ที่เป็นไวรัลมีโอกาสผิดเพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือแม้กระทั่ง ChatGPT ก็สามารถถูกโปรแกรมให้สร้างข้อมูลเท็จเพื่อสนับสนุนกลุ่มต่อต้านวัคซีนได้ ดังนั้น การสร้างแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็น แพลตฟอร์ม “Metamool” ของจุฬาฯ จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นคลังความรู้ทางการแพทย์ที่ถูกต้องและเข้าถึงง่าย โดยใช้ AI ช่วยเลือกบทเรียนและมีสื่อการสอนแบบ 3 มิติ
- Telehealth และ Robotics: เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลช่วยเสริมพลังให้ผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้าน ให้สามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ หุ่นยนต์ยังเข้ามามีบทบาทในการช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หุ่นยนต์สุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่ช่วยทำกายภาพบำบัด ซึ่งมีความแม่นยำและเข้มงวดกว่านักกายภาพบำบัดที่เป็นมนุษย์ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ตามเป้าหมาย
- AI-Powered Screening: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในการคัดกรองโรคซึ่งมีปริมาณมาก ที่จุฬาฯ มีการใช้ AI ช่วยอ่านผลเอกซเรย์ปอด โดยระบบจะชี้จุดที่น่าสงสัยให้แพทย์โฟกัส ไม่ได้อ่านผลแทนทั้งหมด ซึ่งช่วยลดความเหนื่อยล้าและเพิ่มความแม่นยำ นอกจากนี้ ยังมี AI-DCI ที่ช่วยตรวจจับรอยโรคขนาดเล็กจากการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการตรวจที่แนะนำสำหรับทุกคนที่อายุเกิน 60 ปี
- AI for Mental Health: ปัญหาสุขภาพจิตเป็นวิกฤตที่สำคัญของไทย ซึ่งมีจิตแพทย์เพียง 1.2 คนต่อประชากรแสนคน และมีผู้พยายามฆ่าตัวตายทุก ๆ 2 ชั่วโมง จุฬาฯ จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “DMind” ซึ่งใช้ AI ที่มีความแม่นยำราว 80% ในการวิเคราะห์น้ำเสียง เนื้อหา และสีหน้า เพื่อประเมินภาวะซึมเศร้ารุนแรง และเชื่อมต่อผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเข้าสู่ระบบการรักษาของกรมสุขภาพจิตได้ทันท่วงที จากการใช้งานจริง มีผู้โทรเข้ามากว่า 4 แสนราย และสามารถเชื่อมต่อผู้ป่วยที่อาการรุนแรงกว่า 11,000 รายเข้าสู่การรักษาได้สำเร็จ
- Advanced Therapy Medicinal Products (ATMP): นับเป็นเทคโนโลยีการรักษายุคใหม่ที่ใช้เซลล์และเนื้อเยื่อของผู้ป่วยมาดัดแปลงเพื่อใช้ในการรักษาโรคโดยตรง ตัวอย่างที่สำคัญคือ “CAR T-cell” ซึ่งเป็นการนำเซลล์ภูมิคุ้มกัน (T-cell) ของผู้ป่วยมะเร็งออกมา “ติดอาวุธ” ให้กลายเป็นซูเปอร์เซลล์ที่สามารถกลับเข้าไปต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประเทศไทยสามารถพัฒนาเทคโนโลยีนี้ได้เอง ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงจาก 15 ล้านบาท เหลือประมาณ 1 ล้านบาทต่อการรักษาหนึ่งครั้ง เพิ่มโอกาสการเข้าถึงให้กับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ดื้อยาได้มากขึ้น
อนาคตสุขภาพอยู่ในมือเรา
บทเรียนสำคัญจากวิกฤติโควิด-19 คือ ต่อให้มีนวัตกรรมที่ล้ำเลิศเพียงใด หากขาดระบบการตอบสนองที่รวดเร็วและการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง นวัตกรรมนั้นก็ไม่สามารถเกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การสร้างความร่วมมือในลักษณะ “ทีมประเทศไทย” จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ท้ายที่สุด รศ.นพ.ฉันชาย ได้เน้นย้ำว่า กุญแจสำคัญที่สุดสู่การ “อยู่รอดอย่างชาญฉลาด” คือการพัฒนาตนเองในทุกช่วงของชีวิต การเปิดรับเทคโนโลยีสุขภาพที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเอง (Self-Care) จะเป็นหนทางที่นำพาทุกคนไปสู่ชีวิตที่ยืนยาว เปี่ยมด้วยคุณภาพ และมีความสุขอย่างแท้จริงในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Health Tech’ S-Curve ใหม่ ขับเคลื่อนอนาคตสาธารณสุขไทย
แก้ปัญหาฝุ่นผิดทาง? ส่อง 3 ความเชื่อที่ต้องเลิก ถ้าอยากได้อากาศดีคืนมา