สถานะของประเทศไทยในแวดวงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลกยังคงเผชิญความท้าทาย แม้จะมีบุคลากรที่มีศักยภาพสูงก็ตาม ดร.ศุภศรณ์ สุวจนกรณ์ นักวิจัยจากสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เปิดเผยข้อมูลว่า ปัญหาหลักเกิดจากการขาดแคลนงานวิจัยระดับสูงสุด (Top-Tier) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากโครงสร้างและเกณฑ์การประเมินผลงานวิจัยภายในประเทศที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขด้วยการปฏิรูประบบ หรือสร้าง “ระบบนิเวศคู่ขนาน” เพื่อส่งเสริมการวิจัยให้ทัดเทียมนานาชาติ
สถานะงานวิจัย AI ของไทยในเวทีโลก
จากการอ้างอิงข้อมูลการจัดอันดับขีดความสามารถด้าน AI (AI Ranking) ซึ่งประเมินจากจำนวนผลงานตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการระดับสูงสุด พบว่าสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ขณะที่ประเทศไทยไม่ถูกจัดอันดับในแผนที่ดังกล่าว ประเด็นสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร เนื่องจากประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าไทย เช่น สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ กลับมีผลงานวิจัยที่โดดเด่น
ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยคือ “การขาดแคลนงานวิจัยระดับสูงสุด” โดยในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ การตีพิมพ์ผลงานในการประชุมวิชาการชั้นนำ เช่น CVPR, NeurIPS และ ICML ถือเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับสูงสุด แต่ระบบการประเมินผลงานวิชาการของไทยกลับให้ความสำคัญกับวารสารวิชาการ (Journal) มากกว่า ซึ่งไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสาขา
ข้อมูล ณ ปี 2018 ชี้ชัดว่า ประเทศไทยไม่มีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในการประชุมหลักด้านคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer Vision) ทั้ง 3 งาน (CVPR, ICCV, ECCV) เลยแม้แต่ฉบับเดียว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีผลงานวิจัยจากสถาบันในประเทศไทยได้รับการยอมรับและตีพิมพ์ในเวทีประชุมวิชาการระดับสูงสุดเหล่านี้บ้างแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบวกที่แสดงถึงศักยภาพของนักวิจัยไทย ในทางตรงกันข้าม มีนักวิจัยชาวไทยจำนวนมากที่สามารถสร้างผลงานและได้รับรางวัลในเวทีระดับโลก แต่ความสำเร็จเหล่านั้นเกิดขึ้นขณะที่พวกเขาปฏิบัติงานในสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
กรณีศึกษา: การสร้างผลงานวิจัยระดับโลกในบริบทไทย

ดร.ศุภศรณ์ ได้นำเสนอประสบการณ์การก่อตั้งห้องปฏิบัติการวิจัย “Vision and Learning Lab” ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) เพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยในช่วง 3 ปีแรก (2018-2020) เป็นช่วงที่เผชิญกับความท้าทายและยังไม่มีผลงานตีพิมพ์ แต่ในปี 2021 Lab ได้เริ่มประสบความสำเร็จในการสร้างผลงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลหลายชิ้น เริ่มจากเทคโนโลยีการสร้างโมเดล 3 มิติจากภาพถ่ายให้มีความสมจริงสูง สามารถแสดงผลได้เร็วกว่าเทคโนโลยีเดิมนับพันเท่า และจัดการกับวัตถุที่มีความโปร่งใสหรือซับซ้อนได้ดีขึ้น ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Paper Candidate ในการประชุม CVPR
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนา AI ที่สามารถเรียนรู้เพื่อระบุตำแหน่งสำคัญบนใบหน้า โดยใช้ข้อมูลที่มีการกำกับ (Label) เพียง 1 ตัวอย่าง ซึ่งช่วยลดปริมาณข้อมูลที่ต้องใช้ลง 30-50 เท่าเมื่อเทียบกับวิธีการเดิม รวมถึงการสร้างแบบจำลอง Generative AI ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณลักษณะบนใบหน้าได้โดยเรียนรู้จากชุดข้อมูลภาพใบหน้าเพียงอย่างเดียว ความสำเร็จดังกล่าวนำไปสู่การร่วมมือกับองค์กรระดับโลก เช่น Google และ Stability AI ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคุณภาพของงานวิจัยที่สามารถทำได้โดยนักวิจัยในประเทศไทย
ความท้าทายเชิงระบบของวงการวิจัยไทย
แม้จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างผลงานได้ แต่ภาพรวมของประเทศยังคงตามหลังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างเวียดนามและสิงคโปร์อยู่มาก ปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ข้อจำกัดเชิงระบบ โดยประเด็นแรกคือเกณฑ์การประเมินผลงานทางวิชาการ ที่การตีพิมพ์ผลงานในการประชุมวิชาการระดับสูงสุดยังไม่ถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์หลักในการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง หรือการขอทุนสนับสนุนการวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐบางแห่ง ขณะเดียวกัน เงื่อนไขการสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกของบางสถาบันที่กำหนดให้นักศึกษาต้องมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่เอื้อให้นักวิจัยมุ่งเน้นการสร้างผลงานเพื่อนำเสนอในเวทีประชุมวิชาการระดับโลก
ข้อเสนอ: การปฏิรูประบบ และกรณีศึกษาจากเวียดนาม
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ดร.ศุภศรณ์ ได้เสนอแนวทางออกเป็น 2 แนวทางหลัก คือ การปฏิรูประบบการประเมินและจัดสรรทุนวิจัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของแต่ละสาขา และการสร้างระบบนิเวศคู่ขนาน (Parallel Ecosystem) ในกรณีที่การปฏิรูประบบหลักทำได้ยาก โดยมีกรณีศึกษาคือ VinAI ของประเทศเวียดนาม
VinAI ซึ่งก่อตั้งโดย Vingroup มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ของประเทศ ผลปรากฏว่าภายในปี 2023 สามารถตีพิมพ์ผลงานในเวทีระดับสูงสุดได้ถึง 136 ฉบับ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าผลงานของประเทศไทยในรอบ 10 ปีรวมกัน
ความสำเร็จดังกล่าวได้ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง NVIDIA และนำไปสู่การเข้าซื้อกิจการโดย Qualcomm ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมสามารถปลดล็อกศักยภาพและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ยุทธศาสตร์ AI’ ไทย-มาเลเซียเปิดแผนพัฒนา ‘ทักษะดิจิทัล’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งชาติ
Whoscall x พม. เปิดตัวฟีเจอร์ ‘Voice Alert’ คุ้มครองกลุ่มเปราะบาง