Share on
×

Share

เศรษฐกิจและปากท้องชาวบ้าน กับรัฐบาล 4 เดือน

รัฐบาลอนุทินประกาศจะพุ่งเป้ายุบสภาภายใน 4 เดือน ตามเอ็มโอยู หรือสัญญาที่ทำไว้กับพรรคประชาชนเพื่อแลกกับเสียงสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองคาดว่า เมื่อบวกกับช่วงเวลาก่อนหลังการเลือกตั้งรัฐบาลอนุทิน น่าจะมีอายุราว 7 เดือน หรือยืดได้จนถึงเดือนเมษายนปีหน้าเป็นอย่างน้อย

พินิจตามสภาพเงื่อนไขข้างต้นแล้ว รัฐบาลอนุทินมีสภาพเหมือนรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งต่างจากรัฐบาลเฉพาะกิจที่เกิดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤติและถึงทางตันจึงต้องตั้งคณะผู้บริหารเฉพาะกิจขึ้นมาประคองสถานการณ์

แต่รัฐบาลอนุทินเกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมือง อนุทิน ได้เป็นนายกฯ ส่วน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน หวังใช้ข้อตกลงดังกล่าวเปิดประตูบานแรกในการแก้รัฐธรรมนูญ และยังเป็นไมตรีเก็บไว้ใช้หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังมีบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาที่หาเพื่อนร่วมตั้งรัฐบาลไม่ได้ทั้งที่ชนะเลือกตั้งมาอันดับหนึ่ง

แต่ถึงจะเป็นรัฐบาลชั่วคราวและมีสัญญาว่าจะทำกับพรรคประชาชน แต่รัฐบาลอนุทินไม่สามารถเลี่ยงความคาดหวังจากประชาชนเช่นเดียวกับรัฐบาลปกติไปได้

หลังรับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 อย่างเป็นทางการ อนุทินได้แถลงครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีเมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ที่ผ่านมา โดยกล่าวถึง 4 ภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะผลักดันคือ แก้ปัญหาปากท้อง ปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา สะสางแก๊งสแกมเมอร์ และ ภารกิจตามสัญญากับพรรคประชาชน

อนุทิน ให้สัญญาว่า.. ปัญหาปากท้อง รัฐบาลภายใต้การนำของตนจะเร่งแก้ปัญหาที่กระทบต่อประชาชน ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมประกาศเสียงดังฟังชัดด้วยว่า จะลดค่าครองชีพ พลังงาน ขนส่ง แก้หนี้สินเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย รวมถึงสร้างรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่น

ด้านความมั่นคงโดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา อนุทินประกาศว่า จะยึดหลักการสันติภาพ แต่ยืนยันว่าไทยไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว และจะเร่งชดเชยผู้ประสบภัยโดยเร็ว ภัยธรรมชาติ พัฒนาระบบเตือนภัย ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว ภัยสังคม เดินหน้าปราบปรามยาเสพติด ค้ามนุษย์ การพนัน และแก๊งสแกมเมอร์

นายกฯใหม่ ยังย้ำเหมือนสื่อสารถึงใครบางคนด้วยว่า !!!

รัฐบาลจะทำงานบนหลักกฎหมาย ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เน้นใช้หลักกฎหมายไม่ใช้กฎหมู่ ไม่มีการกลั่นแกล้ง และพร้อมเปิดเผยให้ประชาชนตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และที่สำคัญ อนุทินยืนยันว่า ตามข้อตกลง (กับพรรคประชาชน) รัฐบาลจะเดินหน้ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และเตรียมยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินอนาคตประเทศ และในเวลาจากนี้ไปจะเร่งเดินหน้าทำงานแบบไม่มีวันหยุด

ฟังแล้วแม้ไม่ถึงกับขนลุกซู่ แต่สัมผัสได้ถึงพลวัตเล็ก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อดูเป้าหมายหลัก ๆ ที่ นายกฯอนุทิน ประกาศมานั้น เรื่องชายแดนฯคงไม่เป็นปัญหามากนัก เพราะมีการกำหนดกรอบเค้าโครงการการเจรจากำกับอยู่แล้วและมีกองทัพกำกับดูแลอยู่

ส่วนข้อตกลงเรื่องยุบสภาภายใน 4 เดือนตามเอ็มโอยูที่ทำไว้กับพรรคประชาชน ยังไง ๆ นายกฯอนุทิน คงไม่กล้าเบี้ยวเพราะได้แถลงเป็นสัญญาประชาคมไปแล้ว ยากจะพลิ้วเป็นอย่างอื่น

เหลือแต่เพียงปัญหาเศรษฐกิจ ที่เกี่ยวโยงกับเรื่องปากท้องเท่านั้น ที่ต้องจับตาว่ารัฐบาลอนุทิน 1 จะขับเคลื่อนได้ขนาดไหน ภายใต้กรอบเวลาที่กระชับมาก และยังมีข้อจำกัดด้านการคลังกระหนาบอยู่ข้างๆ

อย่างที่ทราบ ๆ กันว่า เศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะทรงอ่อน คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวเหมือนที่สำนักเศรษฐศาสตร์หลายแห่งประกาศ การดำเนินชีวิตดูอัตคัตไปหมด รายได้ที่หาได้หมดไปกับการใช้หนี้ หลาย ๆ คน บ้านและรถกำลังจะถูกยึด ซ้ำร้ายบางรายเจอแก๊งสแกมเมอร์หลอกดูดเงินไปอีก ขณะที่งานประจำหายากจนไม่สามารถฝันถึงความมั่นคงในชีวิตได้เลย

แม้ล่าสุด สภาพัฒน์ฯออกมาปลอบใจ ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ใหม่เป็น ขยายตัวระหว่าง 1.8 – 2.3% ค่ากลางอยู่ที่ 2% จากเดิมที่วางไว้ 1.3-2.3% ค่ากลางที่ 1.8% โดยอ้างว่ามีหลายปัจจัยช่วยหนุน อย่างเช่น สถานการณ์ส่งออกที่ได้ผลบวกจากความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ของทรัมป์ที่เรียกเก็บไทยที่อัตรา 19% การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น เป็นต้น

แต่ปัญหาปากท้องที่ นายกฯอนุทินประกาศว่าจะลดค่าครองชีพ พลังงาน ขนส่ง…ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ปัจจุบันฐานะการคลังของเรามีข้อจำกัดมาก หรือที่นักการคลังใช้คำว่า พื้นที่การคลังเหลือน้อยเต็มที การก่อหนี้เพิ่มเพื่อนำมากระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ยาก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักวิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า การคลังของประเทศไทยมีข้อจำกัดใหญ่ด้วยกัน 3 ด้าน 1) รายได้ภารรัฐต่อ จีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ต่ำกว่ามาตรฐาน 2) หนี้สาธารณะสูงล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 64% ต่อจีดีพี คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะเฉียดเพดานในปี 2570 และ 3) หนี้ครัวเรือนสูง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้การคลังของไทยห่างจากความยั่งยืนไปทุกที ๆ เพราะมีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลต่อเนื่องมานาน ซึ่งมีสาเหตุจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ และสถานการณ์การคลังตามที่กล่าวมานั้น ไม่เป็นผลดีต่อความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของประเทศเลย

ที่สำคัญรัฐบาลอนุทิน 1 ประกาศว่าจะรื้อฟื้นโปรในตำนาน “คนละครึ่ง“ ซึ่งจะใช้เงินไม่น้อยหากจะแจกเป็นการทั่วไป แม้รัฐบาลแพทองธาร เหลืองบกลางฯ ที่สามารถใช้สำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ 122,556.21 ล้านบาท มาจากงบฯกลาง 96,556.71 ล้านบาท และมีส่วนที่โยกงบเหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 26,000 ล้านบาท

รัฐบาลคงต้องคิดให้ดีหากจะใช้งบก้อนนี้ทำประชานิยม เพราะบ้านเมืองจากนี้ไปคงมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นหากพิจารณาจาก ความเสี่ยงทั้งจากภายในและภายนอก การตุนกระสุนไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ คือสิ่งที่ควรทำ

ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขตามที่ได้กล่าวมา รวมไปถึงข้อจำกัดที่อาจจะมาเพิ่มในช่วงถัดจากนี้ไป พอฉายให้เห็นเค้าลาง ๆ ว่า โอกาสที่รัฐบาลอนุทินจะดูแลปัญหาปากท้องแบบโปรปูพรมให้ทุกคนนั้นเกิดขึ้นได้ยากถึงยากสุด ๆ

สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ การรักษาแรงส่งทางเศรษฐกิจ อย่าให้เกิดรอยต่อในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ด้วยการผลักดันงบรายจ่ายฯ 2569 มูลค่า 3.78 ล้านล้านบาท ให้เป็นไปตามแผนอย่าให้สะดุด การรื้อหรือโยกงบฯ เพื่อสนองเป้าหมายทางการเมือง อาจทำให้การเบิกจ่ายเสียจังหวะ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจ และส่งผลกระทบลงไปถึง ปากท้องชาวบ้าน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เมื่อการค้าโลก ตีลังกาเอาหัวลง

ราคาทองคำจะถึงบาทละ 60,000 ?

ธุรกิจหันมาจ้างงานชั่วคราว ‘ฝันร้าย’ มนุษย์เงินเดือน

×

Share

ผู้เขียน