ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจสู่โมเดลการทำงานยุคใหม่ ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการทดแทนแรงงาน แต่เป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม นี่คือทิศทางที่ถูกนำเสนอ
อภิรัตน์ หวานชะเอม Head of True X, True Digital Group เสนอแนวคิด “human.ai” เพื่อเป็นกรอบการทำงานในอนาคต ที่เปลี่ยนมุมมองต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) จาก “ผู้มาทดแทน” สู่ “เครื่องมือเสริมศักยภาพ” ของบุคลากร หัวใจสำคัญของแนวคิดของ “human.ai” คือเพื่อใช้เป็นกรอบการทำงานสำหรับองค์กรธุรกิจยุคใหม่
อภิรัตน์ กล่าวว่า AI อาจเป็นเทคโนโลยีสุดท้ายที่มนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์การทำงานครั้งสำคัญ โดย AI จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วย” ที่ทลายข้อจำกัดด้านทักษะ (Skill) เดิม ๆ เปิดทางให้มนุษย์สามารถมุ่งเน้นการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายและความถนัด (Passion) ได้อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ “อิคิไก” (Ikigai) ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ส่วน คือ สิ่งที่รัก สิ่งที่ถนัด สิ่งที่สร้างประโยชน์ และสิ่งที่สร้างรายได้
เปลี่ยนมุมมองใหม่: จากการแข่งขันสู่การทำงานร่วมกัน
หัวใจสำคัญของการทำงานในยุคใหม่ คือการเปลี่ยนมุมมองจากการแข่งขันกับ AI ซึ่งมักถูกนำเสนอผ่านสื่อในรูปแบบการวัดผลเชิงเปรียบเทียบ เช่น การเล่นหมากรุก มาสู่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
การเปรียบเทียบดังกล่าว เป็นการมุ่งเน้นในกิจกรรมที่มนุษย์ไม่ได้มีความได้เปรียบโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และเปรียบได้กับการที่มนุษย์พยายามวิ่งแข่งกับรถยนต์หรือยกน้ำหนักแข่งกับเครน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล กรอบความคิดที่ถูกต้อง คือการยอมรับว่าเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์สามารถทำงานด้านการประมวลผล (How) ได้ดีกว่ามนุษย์
บทบาทของมนุษย์จึงไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันในสิ่งที่เครื่องจักรทำได้ดีกว่า แต่อยู่ที่การมุ่งเน้นในสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ นั่นคือ Passion ความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) วิจารณญาณ (Judgement) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ดังนั้น ความท้าทายที่แท้จริงจึงไม่ใช่ “เราจะแข่งขันกับ AI ได้อย่างไร” แต่เป็น “เราจะใช้ AI เพื่อบรรลุเป้าหมายและความฝันของเราได้อย่างไร” โดยให้มนุษย์เป็นผู้กำหนด “เป้าหมาย” (Why) และ “ผลลัพธ์ที่ต้องการ” (What) แล้วใช้ AI เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นจริง
ความเสี่ยงด้านการจ้างงานไม่ได้มาจาก AI โดยตรง แต่มาจากบุคลากรที่สามารถใช้ AI เป็นเครื่องมือได้เหนือกว่า ขณะเดียวกัน AI จะเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่บุคคลเพียงคนเดียวสามารถสร้างสรรค์บริการที่เหนือกว่าองค์กรขนาดใหญ่ได้ พร้อมกันนี้ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง AI (AI Inclusion) ยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการจัดการอย่างจริงจัง
เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เบื้องหลังประสบการณ์ที่เรียบง่าย
ในมิติทางเทคโนโลยี อภิรัตน์ได้อธิบายถึงวิวัฒนาการสำคัญที่ทำให้ AI เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านแนวคิด Agentic AI ซึ่งก้าวข้ามข้อจำกัดของ AI ในอดีต โดยเป็นการผสานการทำงานของ AI หลายรูปแบบเข้ากับฐานข้อมูลภายนอก (RAG) และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ถูกต้องและสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้การควบคุมสั่งการของมนุษย์
อย่างไรก็ตาม หลักการสำคัญในการนำเสนอเทคโนโลยีสู่ผู้บริโภค คือความไฮเทคทั้งหมดควรอยู่เบื้องหลัง และมอบประสบการณ์ที่เรียบง่ายที่สุดให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น การสั่งงานกล้องวงจรปิดด้วยเสียงพูดธรรมดาแทนที่จะต้องเรียนรู้ระบบที่ซับซ้อน
นอกจากนี้ เทคโนโลยีอย่าง “White Coding” ยังช่วยลดกำแพงทางเทคนิค ทำให้บุคคลทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนโปรแกรมสามารถสร้าง AI Agent ขึ้นมาใช้งานได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึง
กรอบการปรับโครงสร้างองค์กรสู่ยุค AI
เพื่อนำแนวคิดเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติจริงในภาคองค์กร นายอภิรัตน์ได้เสนอหลักการปรับตัว 3 ขั้นตอนที่เรียกว่า “Reflect, Reframe, Reinvent” ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 1: Reflect (การวิเคราะห์และจำแนกงาน) คือการสำรวจและแบ่งงานในองค์กรออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ งานเชิงปฏิบัติการ (Operational Work) ซึ่งเป็นงานซ้ำ ๆ มีขั้นตอนชัดเจน งานเชิงควบคุมดูแล (Supervisory Work) ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจและสั่งการ และ งานเชิงสร้างสรรค์ (Creative Work) ที่ต้องการการวางแผนกลยุทธ์และคิดริเริ่มสิ่งใหม่
ขั้นตอนที่ 2: Reframe (การออกแบบการทำงานร่วมกัน) คือการนำ AI เข้ามาปรับรูปแบบการทำงานในแต่ละประเภท สำหรับงาน Operation, AI จะทำหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานโดยมีมนุษย์เป็นผู้ควบคุมและตรวจสอบสำหรับงาน Supervisor มนุษย์จะอยู่ในบทบาทหัวหน้า และมี AI Agent เป็นทีมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งสามารถสร้างเพิ่มได้ตามความต้องการโดยไม่ต้องรอการอนุมัติกำลังคน และสำหรับงาน Creative AI จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ เพื่อช่วยค้นคว้า ระดมสมอง และวิเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนที่ 3: Reinvent (การปรับโครงสร้างสู่องค์กรไฮบริด) คือเป้าหมายสูงสุดในการสร้างองค์กรที่มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนำไปสู่แนวคิดใหม่ในการบริหารจัดการ เช่น การสร้าง Job Description ที่ระบุหน้าที่ความรับผิดชอบของทั้งบุคลากรมนุษย์และ AI Agent ที่ทำงานร่วมกัน และเมื่อกำหนดหน้าที่ให้ AI แล้ว ก็สามารถ “ป้อนข้อมูล” ที่จำเป็นเพื่อให้ AI Agent เริ่มทำงานได้ทันที เสมือนการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ ซึ่งกระบวนการนี้จะส่งเสริมให้บุคลากรต้องพัฒนาทักษะใหม่ โดยเฉพาะความสามารถในการบริหารจัดการและไว้วางใจเพื่อนร่วมงานที่ไม่ใช่มนุษย์
อภิรัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บุคลากรจำเป็นต้องกล้า “เทน้ำออกจากแก้ว” คือกล้าที่จะละวางทักษะเดิมที่ AI สามารถทำแทนได้ (ส่วนที่เป็น How) เพื่อให้เหลือไว้เพียงสิ่งที่ตกผลึกอยู่ก้นแก้ว นั่นคือประสบการณ์และภูมิปัญญา ซึ่งเป็นคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์ในยุคที่ AI กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงาน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ผู้เชี่ยวชาญ MIT หนุนใช้ดาวเทียมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
สวนทางศักยภาพ! นักวิจัยชี้ ‘ระบบ’ คือกับดักงานวิจัย AI ไทย