Share on
×

Share

เดิมพันครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ: สรุปทางแยกแห่งยุค AI จาก KBTG Techtopia: At World’s Beginning

เราอาจกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม พลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ได้เป็นเพียงคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่ แต่คือกระแสธารที่กำลังเปลี่ยนรูปโฉมของทุกสิ่ง ตั้งแต่วิธีที่เราทำงาน สร้างสรรค์ ไปจนถึงการนิยามความหมายของ “สติปัญญา” และ “ความเป็นมนุษย์” แต่พลังนี้ไม่ได้มาพร้อมกับคู่มือการใช้งาน มันมาพร้อมกับทางแยกที่บังคับให้เราในฐานะมนุษย์ต้องเลือก 

งาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning ไม่ได้พยายามให้คำตอบสำเร็จรูป แต่ได้กางแผนที่ของทางแยกเหล่านี้ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด และนี่คือบทสรุปของแก่นความคิดและบทสนทนาสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางอนาคตของพวกเราทุกคน

ทางแยกแห่งอนาคต: เมื่อมนุษย์คือผู้กุมบังเหียน AI

หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตลอดงานคือประโยคที่ว่า “AI ไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่มนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่จะเปลี่ยนโลก” แนวคิดนี้ถูกนำเสนอโดย กระทิง-เรืองโรจน์พูนผล Group Chairman, KASIKORN Business-Technology Group (KBTG) ที่ย้ำเตือนว่า ความสำเร็จหรือล้มเหลวของการนำ AI มาใช้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความล้ำหน้าของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติ ตั้งแต่รากฐานข้อมูล ผู้นำ ไปจนถึงกระบวนการทำงาน พลังของ AI ไม่ได้ดีหรือร้ายในตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้สร้างและผู้ใช้ และวันนี้มนุษยชาติกำลังยืนอยู่บน “6 ทางแยก (Crossroads)” สำคัญ ที่ทุกการตัดสินใจจะกำหนดทิศทางอนาคต

ทางแยกเหล่านี้ คือบททดสอบสำคัญของมนุษยชาติ เริ่มตั้งแต่การมาถึงของ Agentic AI ที่มีความสามารถในการตัดสินใจและกระทำการที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง ความจำเป็นในการสร้างกรอบ การกำกับดูแลและควบคุม (Governance & Containment) ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลกไม่ต่างจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ การเลือกระหว่าง การแข่งขันกับการร่วมมือ (Collaboration) และการสร้างสมดุลระหว่างเป้าหมายสูงสุดอย่าง AGI กับการประยุกต์ใช้จริงในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยังมีทางแยกด้าน ความยั่งยืน (Sustainability) เมื่อการฝึกฝน AI แต่ละครั้งใช้ทรัพยากรมหาศาล และทางแยกสุดท้ายที่สำคัญที่สุด คือทางแยกที่ส่งผลต่อสังคมโดยตรง ว่าเราจะปล่อยให้ AI ตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ (Exaggerate Inequalities) หรือจะใช้มันเพื่อสร้างความเท่าเทียม (Level the Playing Field)

“จะมีประโยชน์อะไรหากเราสร้างเศรษฐีล้านล้านคนแรกขึ้นมาได้ แต่คนส่วนใหญ่ของโลกยังไม่มีอากาศสะอาดหายใจ?”

กระดานหมากรุกโลกใหม่: เมื่อความเป็นกลางคือยุทธศาสตร์ของไทย

Digital Crossroads: Charting Thailand's Course Amidst the US-China Tech Superpower Race

บนเวทีโลกที่ซับซ้อน สมรภูมิที่ใหญ่ที่สุดคือการแข่งขันทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งวงเสวนาหัวข้อ “Digital Crossroads: Charting Thailand’s Course Amidst the US-China Tech Superpower Race” ได้ให้มุมมองว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว สถานการณ์นี้กลับเต็มไปด้วยโอกาสมากกว่าความน่ากังวล โดยมี Cindy Chow, Executive Director & CEO, Alibaba Hong Kong Entrepreneurs Fund ชี้ให้เห็นว่าการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดจีน กำลังผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีของจีนต้องมองหาการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยมีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดหมายสำคัญ

ขณะเดียวกันคุณ Jay Zhao, Managing Director, Leonis Capital จากฝั่งสหรัฐฯ มองว่าการแข่งขันนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้สร้างนวัตกรรมในประเทศอย่างไทย เพราะทำให้เกิดทางเลือกที่หลากหลายและป้องกันการผูกขาด เขายังชี้ให้เห็นความแตกต่างสำคัญว่า “จีนโดดเด่นในเรื่องโมเดล AI แบบ Open-source ในขณะที่สหรัฐฯ มักจะมุ่งไปที่โมเดลแบบ Closed-source” ซึ่งความแตกต่างนี้เองที่เปิดประตูสู่ยุทธศาสตร์ของไทย

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์, VP of Public Affairs, LINE MAN Wongnai สรุปว่า “จุดยืนที่เป็นกลางของไทยคือความได้เปรียบ” ความเป็นกลางนี้ทำให้ไทยสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดจากทั้งสองโลก (Best of Both Worlds) ได้อย่างอิสระ 

นอกจากนี้ สงครามเทคโนโลยียังสร้างโอกาสจากการย้ายฐานการผลิตและปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน เมื่อโรงงานต่างๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังไทย ซึ่งเป็นโอกาสที่ไทยจะยกระดับตัวเองจากฐานการผลิตไปสู่ศูนย์กลางด้านการออกแบบและพัฒนาบุคลากรได้

ชุดเครื่องมือของผู้สร้าง: ‘เลโก้’ ชิ้นใหม่และสนามทดลอง Sandbox

AI's Next Frontier: Transitioning from Hype to Impact

เมื่อเข้าใจบริบทโลกแล้ว คำถามถัดมาคือ “เราจะสร้างสรรค์อะไรจากพลังนี้?” ใน Session  “AI’s Next Frontier: Transitioning from Hype to Impact” Dr.Andrew Ng, Managing General Partner, AI Fund ได้เริ่มต้นด้วยการสลายหมอกแห่งความสับสนรอบคำว่า AGI โดยชี้ว่าทุกวันนี้มันได้กลายเป็นศัพท์ทางการตลาดที่ไร้คำจำกัดความชัดเจน และแก่นแท้ที่สำคัญกว่าคือความก้าวหน้าของ AI นั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การรอคอยการมาถึงของเทคโนโลยีมหัศจรรย์เพียงชิ้นเดียว

Dr.Andrew Ng ได้เปรียบเทียบว่า AI ในวันนี้เปรียบเสมือน “ตัวต่อเลโก้ (Lego)” ที่มีชิ้นส่วนหลากหลายและซับซ้อนกว่าที่เคย เขาย้ำว่าทักษะที่สำคัญที่สุดในยุคนี้จึงไม่ใช่การสร้างเลโก้ชิ้นใหม่ แต่คือการมี กรอบความคิดเชิงซ้อน (Meta Framework) เพื่อนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบกันเป็นนวัตกรรม ซึ่งเครื่องมือสำคัญในการประกอบสิ่งเหล่านี้คือ การเขียนโค้ดด้วย AI (AI-assisted coding) ที่เขาชี้ว่าเป็นทักษะจำเป็นสำหรับ “ทุกคน” ไม่ใช่แค่โปรแกรมเมอร์ เพื่อปลดล็อกพลังในการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

สำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการสร้างสรรค์ แต่กังวลเรื่องความเสี่ยงจากการทดลอง Dr.Andrew Ng ได้เสนอแนวคิด “Sandbox” หรือ “พื้นที่ปลอดภัย” เป็นทางออก เพื่อแก้ปัญหาที่การทดลองทุกอย่างต้องผ่านการอนุมัติจากผู้บริหารหลายขั้นตอนจนนวัตกรรมไม่เกิด Sandbox จึงเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่เปิดให้ทีมได้ทดลองไอเดียใหม่ ๆ อย่างรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่ปลอดภัย ซึ่งด้วยต้นทุนการทดลองที่ลดลงอย่างมากจาก AI-assisted coding ทำให้องค์กรสามารถรันโปรเจกต์ต้นแบบได้มากมาย เพื่อเฟ้นหาไอเดียส่วนน้อยที่จะกลายเป็นขุมทรัพย์ที่แท้จริง

เขาทิ้งท้ายด้วยมุมมองที่เปี่ยมด้วยความหวังว่า AI จะเข้ามาทลายข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ นั่นคือการทำให้ “สติปัญญา (Intelligence)” ซึ่งในอดีตเป็นทรัพยากรที่แพงและหายากที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ และยังกล่าวชื่นชมประเทศไทยว่ามี “ความกระหายในเทคโนโลยี (Hunger for technology)” ซึ่งทำให้เขามองเห็นอนาคตที่สดใสและพร้อมที่จะเป็น “ผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของประเทศไทย” ต่อไป

Nation-Scale AI: Unlocking the Value of Telecom Data for Sustainable Innovation

แนวคิดเรื่องการใช้เครื่องมือพื้นฐานมาประกอบกันเป็นนวัตกรรมนี้ ยังถูกนำมาปรับใช้ในระดับประเทศ ซึ่งเวที “Nation-Scale AI: Unlocking the Value of Telecom Data for Sustainable Innovation” ได้แสดงให้เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน โดย ศานิต เกษมสันต์ ณ อยุธยา, Country Lead for Cloud and Security, NTT DATA Thailand ได้วางกรอบการทำงานเชิงกลยุทธ์ไว้ว่า การจะสร้างโปรเจกต์ระดับชาติให้สำเร็จ ต้องเริ่มต้นจาก “เป้าหมาย” ที่ชัดเจน เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ UN จากนั้นจึงค้นหา “Pain Point” หรือปัญหาที่แท้จริงของประเทศ เช่น การจราจรหรือการจัดการขยะ แล้วจึงค่อยนำ “เทคโนโลยี” เข้ามาเป็นเครื่องมือในการแก้ไข

จากกรอบการทำงานดังกล่าว อัฏฐพร แก้วงาม AnalyticX and Data Business Manager, AIS Business ได้ชี้ให้เห็นว่า “Mobility Data” หรือข้อมูลการเคลื่อนที่จากเครือข่ายโทรคมนาคม คือ “ตัวต่อเลโก้” ชิ้นสำคัญ โดยเน้นย้ำว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกทำให้ไร้ตัวตนและใช้ในภาพรวม (Anonymized & Aggregated) เพื่อเคารพความเป็นส่วนตัวสูงสุด ก่อนจะนำไปสร้างประโยชน์มหาศาล ดังเช่นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการช่วย ททท. วิเคราะห์พฤติกรรมการเดินทางของคนไทย เพื่อวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองได้อย่างตรงจุด หรือการช่วย EEC ประมาณการจำนวน “ประชากรแฝง” ที่แท้จริงในพื้นที่ เพื่อใช้วางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ตั้งแต่ระบบขนส่งสาธารณะไปจนถึงจำนวนเตียงในโรงพยาบาลได้อย่างแม่นยำ

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือข้อมูลเหล่านี้มักถูกเก็บกระจัดกระจายอยู่ใน “ไซโล” (Data Silos) ซึ่ง Kunal Tuteja, AVP Field Engineering ASEAN & Greater China, Databricks อธิบายว่าเกิดขึ้นจากการที่องค์กรโทรคมนาคมขยายธุรกิจไปหลากหลายด้าน ดังนั้น ภารกิจแรกที่ต้องทำคือการทลายไซโลและนำข้อมูลทั้งหมดจากทุกแหล่งมารวมกันบนแพลตฟอร์มเดียวที่ทันสมัย (Data Lakehouse) เพื่อสร้างมุมมอง 360 องศา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้สามารถนำ AI มาต่อยอดสร้างสรรค์เป็นนโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์ประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

กระจกสะท้อนมนุษย์: Cyborg Intelligence และนิยามใหม่ของความเป็นเรา

ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Research Scientist, MIT Media Lab

หนึ่งในพรมแดนความรู้ที่น่าสนใจและท้าทาย คือการที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือภายนอกอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา โดยมีอิทธิพลต่อกระบวนการคิด การตัดสินใจ และแม้กระทั่งความทรงจำของเราโดยตรง 

ใน Session “Cyborg Intelligence: Designing Human-AI Interactions for Human Flourishing” ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Research Scientist, MIT Media Lab Co-director of MIT Advancing Humans with AI Research Program & Assistant Professor, MIT Media Lab ได้นำเสนอแนวคิด Cyborg Psychology ที่ชี้ว่า “เราทุกคนเป็นไซบอร์กกันอยู่แล้ว” ผ่านการใช้ภาษาและเครื่องมือเพื่อขยายขีดความสามารถทางความคิด เป้าหมายสูงสุดจึงไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อการเติบโตของความเป็นมนุษย์ (Human Flourishing)

แต่ในขณะเดียวกัน ดร.พัทน์ก็ไม่ลืมที่จะชี้ให้เห็นถึง “ด้านมืด” หรือ Dark Pattern ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบเชิงลบ เช่น Deskilling (การสูญเสียทักษะ) Disconnection (การตัดขาดจากสังคม) Disinformation (ข้อมูลลวง) และ Dehumanization(การลดทอนความเป็นมนุษย์) 

ดร.พัทน์ได้นำเสนองานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้าง “ความทรงจำปลอม (Fake Memories)” ให้มนุษย์ได้สำเร็จ และเตือนถึงอันตรายของ “ปัญญาแบบเสพติด (Addictive Intelligence)” ที่อาจทำให้คนเลือกที่จะมีความสัมพันธ์กับ AI แทนมนุษย์จริง นอกจากนี้ เขายังได้ยกตัวอย่าง “อคติในบริบทไทย” ที่ชวนให้ขบคิด เมื่อ AI มีแนวโน้มจะให้คะแนนคนที่ “นามสกุลดัง” ว่าฉลาดกว่าคนทั่วไป ซึ่งเป็นการตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วในสังคม

สนามพิสูจน์แนวคิด: ที่ซึ่งอนาคตกลายเป็นประสบการณ์จริง

Medical Simulation

นอกเหนือจากองค์ความรู้บนเวที โซนจัดแสดงนิทรรศการคือพื้นที่สำคัญที่เปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นประสบการณ์ที่จับต้องได้ โดยมีบูธของ KBTG Labs เป็นศูนย์กลาง ที่ไม่ได้มาเพื่อขายผลิตภัณฑ์ แต่มาเพื่อ “จัดแสดงความเป็นไปได้” และจุดประกายบทสนทนาถึงอนาคต

หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ “Medical Simulation” ที่พัฒนาร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อแก้ปัญหาสำคัญของระบบการศึกษาแพทย์ ที่นักศึกษาในชั้นปีจำนวนมาก อาจมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้ลงมือฝึกปฏิบัติจริงในเวิร์กช็อปแต่ละครั้ง แพลตฟอร์มนี้จึงเปรียบเสมือนห้องฉุกเฉินจำลอง ให้นักศึกษาสามารถเข้ามา Role Play กับ “คนไข้ AI” ในสถานการณ์ที่กดดันได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อสร้างความชำนาญก่อนเผชิญหน้ากับผู้ป่วยจริง นับเป็นการใช้ AI เพื่อยกระดับทักษะบุคลากรทางการแพทย์อย่างเป็นรูปธรรม

จากนวัตกรรมที่มุ่งแก้ปัญหาสังคม สู่นวัตกรรมที่ช่วยให้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น KBTG Labs ได้นำเสนอ “ป้าโรล (Paa Lor)”AI Chatbot สำหรับผู้ที่มองหาโปรโมชัน ที่จะมาช่วยไขความซับซ้อนของสิทธิประโยชน์บัตรเครดิตและโปรแกรมสะสมคะแนนต่างๆ เพียงแค่ผู้ใช้บอกว่ามีบัตรอะไรและต้องการซื้ออะไร “ป้าโร” ก็จะวิเคราะห์และแนะนำบัตรที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุดตามความต้องการเฉพาะบุคคลทันที พร้อมพัฒนาระบบแจ้งเตือนเมื่อมีสิทธิพิเศษดีๆ ใกล้ตัวในอนาคต นับเป็นการใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายในชีวิตประจำวันได้อย่างชาญฉลาดและเป็นมิตร

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน KBTG Techtopia: At World’s Beginning ได้ตอกย้ำบทสรุปเดียวกัน การเดินทางสู่โลกบทใหม่นี้ ไม่ได้เริ่มต้นจากการมาถึงของเทคโนโลยีที่เหนือมนุษย์ แต่เริ่มต้นจากการตัดสินใจของ “มนุษย์” ที่จะหยิบเครื่องมืออันทรงพลังนี้ขึ้นมา เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ทุกคนอยากให้เป็นจริง

×

Share

ผู้เขียน