หลังจากมองเห็นอนาคตของ AI และ Machine Learning กำลังมาแน่ ดร.เต้ ศรัณย์ ศรีพันธุ์ ผู้ก่อตั้งและ CTO บริษัท เทคออริจิ้น จำกัด อดีตนักเรียนทุน พสวท. (โครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ได้เบนเข็มมาเรียนด้านนี้โดยตรง
ล่าสุด หลังสำเร็จการศึกษา ได้กลับมาเปิดบริษัทและพัฒนาผลงานด้าน AI และ Machine Learning คือ แพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ ‘MainStreet’ และแต่งตั้ง ‘SVOA’ เป็นตัวแทนในไทยรายเดียวลุยตลาด
ทำความรู้จัก ดร.ศรัณย์
ย้อนไปเมื่อครั้งเรียน ม.ปลาย ที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ดร.ศรัณย์ สอบชิงทุน พสวท. ได้รับทุนระดับปริญญาตรี-เอก ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทุนคณิตศาสตร์ แต่ไม่จำกัดว่าต้องเป็นคณิตศาสตร์แนวไหน ให้สิทธิผู้ได้รับทุนเลือกเองได้
ช่วงแรกเขาเลือกเรียนเกี่ยวกับสายการบิน การออกแบบวัสดุต่าง ๆ แต่พอเรียน ๆ ไปช่วงปริญญาเอก ปีที่ 2 หรือประมาณปี 2017 พบว่า AI มาแรงมาก เลยตัดสินใจเปลี่ยนสาย ทั้ง ๆ ที่เขียนวิทยานิพนธ์ของเดิมไปบ้างแล้ว มาลงเรียนใหม่ เพราะเห็นความสำคัญของ AI และ Machine Learning ว่า ในอนาคตจะมาแน่ เป็นเหตุให้ต้องเพิ่มระยะเวลาเรียนจาก 12 ปี เป็น 14 ปี
“ผมเป็นคนชอบทำงานไปด้วย เรียนปริญญาตรีก็เริ่มรับงานแล้ว เฝ้าห้องสมุด ช่วยอาจารย์ตรวจการบ้าน ตรวจข้อสอบ จบปริญญาตรีก็หางานทำ เรียนด้วย ทำงานด้วย ตั้งแต่ปริญญาโท และเอก งานแรกเป็นงานที่เริ่มใช้ AI และ Machine Learning ทำโปรแกรมช่วยการตัดสินใจ ที่กระทรวง หรือรัฐบาลในสหรัฐ และดูไบใช้ในช่วงนั้น”
ดร.เต้ เริ่มการทำงานในฐานะ data analyst และ data scientist ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ดึง data มาทำ predictive คลุกคลีกับคณิตศาสตร์ในเชิงรัฐศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ มารวมกันเป็นระบบคอนซัลต์ ให้ภาครัฐและเอกชนที่อเมริกาใช้งาน โดยทำงานร่วมกับทีม development แต่ทำไปทำมาพบว่า สั่ง development ได้ยากมาก เลยเริ่มเขียนเว็บไซต์ ทำอื่น ๆ เอง
จากจุดนั้น ทำให้ ดร.เต้รู้สึกสนุก เพราะควบคุมทุกอย่างได้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหัวใจสำคัญอย่าง Algorithm, AI, Machine Learning หรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการทำ นับเป็นจุดเริ่มต้นของความชอบ
ปี 2020 ดร.เต้ กลับไทย และเปิดบริษัทในช่วงโควิด 2020 จดทะเบียนตั้งบริษัท เทค ออริจิ้น จำกัด เป็นบริษัทดีปเทค พัฒนาเทคโนโลยีหลากหลาย นำความรู้และเทคโนโลยีมาพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยต้องการให้ผู้ใช้เห็นความสำคัญของข้อมูล ซึ่งต้องมีตัวเก็บข้อมูลที่ดี แข็งแรง ไม่ใช่ข้อมูลขยะ และการจะสร้างอีโคซิสเต็มส์ของข้อมูลที่แข็งแรงได้ สิ่งแรกคือต้องเห็นประโยชน์ เห็นว่าทำเงินตอบแทนได้ จึงลงเอยที่อีคอมเมิร์ซ
“วันที่วางแผนทำ ได้มองภาพใหญ่ว่า ข้อมูลมีมูลค่ามาก ทำให้ลูกค้าวางแผน และตัดสินใจได้รวดเร็ว และทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในด้านการตัดสินใจเหนือคู่แข่งอื่น ๆ ได้มาก โดยมี AI เป็นเบื้องหลัง หากทำ Predictive AI มาเลย จะใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลที่แข็งแรง”
มีแพลตฟอร์มเองช่วยให้แข่งขันได้
โปรดักส์แรกจึงเป็นอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ชื่อ MainStreet e-commerce ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ ลูกค้าเป้าหมายเป็นบริษัทไซส์ M ขึ้นเป็น มีสินค้าเป็นของตัวเอง มีรายได้ 30-40 ล้านบาทต่อปี มี Value chain ขนาดใหญ่อยู่แล้ว เช่นมีร้านสาขาอยู่ตามภาคต่าง ๆ จะตอบโจทย์
โปรแกรมจะช่วยจัดการลงไปถึงงานทรัพยากรบุคคล การให้บริการลูกค้า จัดการคลังสินค้าภายในร้านค้าแต่ละที่ ช่วยลดกระดาษ ลดขั้นตอน ช่วยให้การแข่งขันทำได้รวดเร็วขึ้น และคาดหวังลูกค้าปีแรก 10 ราย
“ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันข้อมูลธุรกิจทำมาโดยไม่ได้พึ่งเทคโนโลยี ข้อมูลจะกระจัดกระจายหลายส่วน ยิ่งเป็นธุรกิจใหญ่จะมีข้อมูลมาจากหลายที่ เช่น เครื่องคิดเงินหน้าร้าน ระบบข้อมูลวัตถุดิบในคลังสินค้า ข้อมูลการขาย ทำให้การที่ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กร จะตัดสินใจอะไรที กว่าจะดูข้อมูลเหล่านี้ได้ ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ แต่ถ้าใช้แพลตฟอร์มนี้ จะดึงข้อมูลเรียลไทม์ ต้องการทราบข้อมูลอะไร ณ ที่ประชุม ก็สามารถทำได้ทันที ช่วยย่นระยะเวลาการตัดสินใจ ทำให้วางแผนสู่อนาคตได้เร็วขึ้น และยังช่วยด้านอื่นๆ เช่น ทำมาร์เก็ตติ้ง โปรโมชั่น ได้หลากหลาย ทำให้แข่งขันได้มากขึ้น”
เซ็น MOU ตั้ง SVOA ตัวแทนรายเดียว
ล่าสุด ได้ลงนาม MoU แต่งตั้งบมจ.เอสวีโอเอ เป็นตัวแทนจำหน่ายรายเดียวในประเทศไทย เพราะเห็นโอกาส และเป็นจังหวะที่ดีในการทำงานร่วมกัน เพื่อนำโปรดักส์สร้างความแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย และในอนาคตจะต่อยอดสู่ตลาดเอเชียอื่น ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายใน 2 ประเทศแล้ว คือ เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เพราะตามนโยบายคือต้องการแข่งขันในตลาดเอเชีย
ปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสวีโอเอ บอกว่า เป็นการมาที่ถูกจังหวะ แทนที่จะพึ่งพิงแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่เข้ามาหลากหลาย รวมทั้งรายใหม่ล่าสุดจากจีน
“ถ้ามัวขายผ่านแพลตฟอร์มเหล่านั้น จะเผชิญสภาวะลูกค้าหายไปเรื่อย ๆ ข้อมูลลูกค้าจะอยู่กับแพลตฟอร์มนั้น ๆ ในที่สุดจะถูกยึดไป ต่างจากการมีแพลตฟอร์มของตัวเอง จะปรับโปรโมชัน ใส่หน้าตาให้ทันสมัย หรือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ก็ทำได้เอง”
ขณะเดียวกัน การทำธุรกิจของ SI และ dealer ทุกวันนี้จะขายแยกชิ้นคอมพิวเตอร์ พรินเตอร์ แบบเดิมไม่ได้ เพราะลูกค้าต้องการโซลูชันที่ครบและทำงานได้เลย ต่างจากการจ้างเขียนเว็บไซต์ หมดไป 1.5 ล้านบาทแต่ใช้งานไม่ได้ ส่วนแพลตฟอร์มนี้เริ่มต้นที่ 8 แสนบาท สามารถทำงานได้เลย ยกเว้นบริษัทขนาดเล็ก ที่เงินทุนจำกัด และไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องใช้แพลตฟอร์มต่างชาติ
ดร.เต้ เสริมว่า การไปเปิดร้านบนแพลตฟอร์มอื่น ทั้งร้านค้า และลูกค้าล้วนไม่ใช่ของเรา แถมยังต้องจ่ายค่า GP (Gross Profit) หรือส่วนแบ่งแก่แพลตฟอร์ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถ้าต้องการกำไรเพิ่มต้องจ่ายเพิ่มจำนวนมาก 20-30% ค่าฝากวาง ซึ่งเงินจำนวนนั้นนำมาทำแพลตฟอร์มของตัวเองให้ได้กำไรมาก ๆ แล้วตอบแทนสู่สังคมหรือลูกค้าที่ภักดีในแบรนด์น่าจะดีกว่า เช่น ให้คูปองส่วนลด ซึ่งไม่กระทบธุรกิจ เพราะไปขายที่อื่นก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีผลกำไรกลับมา
ฐานข้อมูลเป็นของลูกค้า
หัวใจสำคัญของแพลตฟอร์ม MainStreet คือ ต้องการให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลลูกค้าเป็นของตัวเอง ฐานข้อมูลอยู่ในบริษัท ไม่ต้องกลัวโดนขโมยฐานข้อมูล
“อยากให้ลูกค้าได้เปรียบคู่แข่ง และโตไปพร้อมกัน MainStreet เป็นเพียงเครื่องเล่น ที่เล่นบน data ที่บริษัทลูกค้ามี ไม่เก็บค่าทรานแซกชันต่อการขายของลูกค้าเหมือนโปรแกรมอื่น ไม่ใช่ Cloud as a Service เพราะตั้งใจให้ลูกค้าเป็นผู้เก็บฐานข้อมูลของตัวเอง เป็นมุมความสำคัญของข้อมูล แต่อนาคตเพื่อเข้าถึงเอสเอ็มอีรายย่อยต้องพิจารณา Cloud as a Service อีกที”
ปฐม ให้ข้อมูลอีกว่า เดิมบริษัทขนาดกลางถ้าจะทำเว็บ มักต้องใช้แพลตฟอร์มอีเคอมเมิร์ซต่างชาติ เช่น WooCommerce, Shopify หรือ Magento หรือลงทุนทำเว็บเอง จ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียน แต่มักไม่จบ และแพงมากหลักสิบล้านบาท และมีข้อจำกัดทางธุรกิจที่ต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้แก่แพลตฟอร์มด้วย ซึ่งหากต้องการ ลูกค้าสามารถเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม MainStreet ได้ทันที
ส่วนลูกค้าเล็ก ๆ ใช้มาร์เก็ตเพลส อย่างช้อปปี้ ลาซาด้า เทพช้อป ก็ได้ แต่ลูกค้าขนาดกลางและใหญ่ ที่หลาย ๆ รายเป็นลูกค้าของ SVOA อยู่แล้ว และขายผ่านแพลตฟอร์มอื่น ๆ อยู่ ซึ่งพบว่า สามารถขายได้ แต่วิเคราะห์ข้อมูลไม่ได้ ดังนั้น MainStreet จะเป็นกุญแจให้เข้าสู่ลูกค้าได้ง่ายขึ้น
ดร.เต้ เล่าว่า หลังจากกลับมาไทย ได้ทำงานคอนซัลต์ด้วย และมีลูกค้าบริษัทกาแฟแห่งหนึ่งได้เปลี่ยนมาใช้ MainStreet ช่วยเพิ่มเป็น 33 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และจะเพิ่มเป็น 35 ล้านบาทในปีนี้ จากเดิมเคยขายผ่านอีคอมเมิร์ซทำรายได้ 3 ล้านบาทต่อปี
จุดเด่น ที่แตกต่างจากคู่แข่ง
แผนอนาคตจะเพิ่มเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็ว จากกิจการจะมีข้อมูลหลาย ๆ ส่วน การจะจับคู่ข้อมูลทำได้ช้า จึงอยากให้เมนสตรีทมาช่วยให้สะดวก
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มมีฟีเจอร์การทำงานที่หลากหลาย โดยมี AI ช่วยจัดการข้อมูลอย่างเหมาะสม ทำให้ลดต้นทุนดำเนินการ ลดการใช้กระดาษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ฟีเจอร์การจัดการการขนส่ง เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการการขนส่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับราคาของการจัดส่งสินค้าและสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์
ระบบประมวลผลการบรรจุกล่อง มี Machine Learning คำนวนการจัดเรียงสินค้าในกล่องให้เป็นประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าเป็นหลัก 10% โปรแกรมสะสมคะแนน ลูกค้าจะได้รับคะแนนสะสมเมื่อซื้อสินค้าตามในระบบ คะแนนสามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป หรือแลกสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้
ฟีเจอร์การจัดเซ็ตสินค้า สร้างเซ็ตสินค้าได้ง่ายโดยเลือกจากสินค้าที่มีอยู่แล้ว ระบบจะทำการคำนวนสินค้าคงเหลือและแยกสินค้าสำหรับการขนส่งให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้มีฟีเจอร์เพิ่มเติม Shop in shop ที่แต่ละแบรนด์ในร้านค้าสามารถทำโปรโมชันแยกได้ ซึ่งหากใช้โปรแกรมอื่นสร้าง ต้องลงทุนนับสิบล้านบาท แต่ของเมนสตรีทจะลงทุนเพิ่มอีกเล็กน้อย เป็นต้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร” Postdoc จาก MIT กับสมการ “โดราเอมอน=AI+จิตวิทยา”
เจาะแนวคิดการนำ AI มาปรับใช้ในองค์กร … ควรซื้อหรือลงทุนสร้างเอง?