บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์อาหารตะวันตกเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ สัญชาติไทย โชว์ความสำเร็จ การใช้กลยุทธ์ Innovation เพื่อผลักดัน “Fusion กินnovation” ส่งผลให้ยอดขายรวมปี 2566 แตะ 7,157 ล้านบาท เติบโตสูงสุดนับตั้งแต่การก่อตั้งมา 65 ปี เตรียมเปิดศูนย์กระจายสินค้า และสร้างโรงงานระบบพลังงานสะอาด รวมถึงใช้ EV Truck ในการขนส่งสินค้า เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากย้อนไปดูตั้งแต่จุดเริ่มต้น สิ่งที่ KCG ทำมาตลอดคือ “Fusion” ตั้งแต่การนำวัตถุดิบอาหารตะวันตกเข้ามาในประเทศไทย มาจนถึงการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารตะวันตกในประเทศไทยสำเร็จ สิ่งที่ KCG ทำคือการ Crossover ข้ามสายพันธุ์มาตลอด แต่ “Fusion” ในรูปแบบของ KCG ไม่เพียงแค่การนำอาหารต่างสไตล์มาประยุกต์รวมกันเท่านั้น แต่หัวใจของการคิดค้นรูปแบบ Fusion เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่คือที่รังสรรค์ และคัดสรรผลผลิตที่มีออกมาต่อยอดในหลากหลายมิติ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ KCG ใช้เป็นอาวุธสำคัญในการเป็นผู้นำด้านอาหารสำหรับโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต
กลยุทธ์ Innovation การผลักดัน “Fusion กินnovation”
- Scalable ฟิวชั่นกับ Sustainable – ให้ความสำคัญกับ Sustainable Development และนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมตลอดจนการดำเนินธุรกิจ โดยจะคำนึงถึงผลประทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรโลกอยู่เสมอ สิ่งที่ KCG ทำมาอย่างต่อเนื่อง คือการลด Food Waste มีการจัดการเรื่องการลด Carbon Footprint การปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงพัฒนา Packaging ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสามารถนำมา Recycle ได้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของแนวทางการพัฒนา Edible Cup แก้วกาแฟทานได้ของ KCG
- Tech ฟิวชั่นกับ Human – KCG มีเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตและพัฒนาคุณภาพสินค้า แต่ขณะเดียวกัน อาหารเป็นเรื่อง Art & Science ที่ต้องมีมนุษย์เป็นตัวเชื่อม เพราะผู้บริโภคคือมนุษย์ บริษัทจึงต้องใช้ความเป็นมนุษย์มาช่วยในการทำอาหารเพื่อให้ได้นวัตกรรม ในแง่ของการพัฒนามนุษย์ KCG มีโครงการที่พัฒนาทักษะของพนักงานอยู่เสมอ รวมถึงรูปแบบการทำงานของ KCG ที่ทำงานแบบ Cross-functional Team นวัตกรรมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องแล็บที่คิดค้นผลิตภัณฑ์ แต่เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ภายในองค์กร KCG เองก็ต้องปรับตัวในการทำงานแบบข้ามแผนก เพราะการสร้างนวัตกรรมไม่ใช่เรื่องของแผนกใดแผนกหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคนทั้งองค์กร
- Localization ฟิวชั่นกับ Modernization – เมื่อก่อน Fusion ที่คนคุ้นเคยอาจจะหมายถึงการเอาอาหารตะวันตกกับตะวันออกมาเจอกัน แต่ปัจจุบัน Fusion ไปไกลกว่านั้น นั่นคือการผสมผสานระหว่างรสชาติท้องถิ่นดั้งเดิม (Localization) กับความทันสมัย (Modernization) ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นว่าผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ Localization ผู้คนมีความภูมิใจในอาหารท้องถิ่นบ้านเกิด และอยากยกระดับอาหารเหล่านั้นให้เป็นที่รู้จัก หรือนำมาอยู่ในบริบทที่ทันสมัย
KCG มีวัตถุดิบที่รองรับโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ การนำ Localization มา Fusion รวมกับ Modernization ให้ได้คือโจทย์ที่ท้าทาย และสิ่งนี้จะส่งผลไปถึง Brand Authenticity ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน และยังเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาด เป็นการคิดค้น และทำในสิ่งที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ หรือเคยทำมาก่อน
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ อาทิ Dairygold Yakicheesu สแน็กชีสพร้อมทาน และล่าสุด KCG ได้มีผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยเปิดตัวมาก่อน คือ Dairygold Cheese Slices Ka Pao นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชีสสไลซ์แผ่นรสกะเพรา ซึ่งเป็นเมนู Local ยอดฮิตของคนไทย มาผสมผสานความ Modern แบบตะวันออกกับตะวันตกอย่างชีสแท้ เพื่อให้ได้รสชาติใหม่ ๆ เป็นชีสกับกลิ่นหอมและรสชาติแบบไทย ๆ ของใบกะเพราและความเผ็ดร้อนจัดจ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีที่ไหนทำ - Tasty ฟิวชั่นกับ Healthy – ด้วยเทรนด์การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ไปจนถึง Weight Wellness ทั้งสำหรับการออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เนย-ชีสที่หลายคนมักมองภาพความ Healthy ไม่ชัดเท่าไรนัก ทำให้แบรนด์ KCG หานวัตกรรมที่จะตอบโจทย์ในแง่ของรสชาติที่อร่อยและมาควบคู่กับการรักษาสุขภาพ
KCG คิดค้นนวัตกรรมเพิ่มเติม หรือดัดแปลงส่วนผสมที่ใส่ใจต่อสุขภาพ ไปผสมผสานกับผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ในมือจนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์รสชาติอร่อย และเสริมสร้างสุขภาพที่ดีต่อผู้บริโภค เช่น Imperial Vegan Cheddar Cheese Slices ผลิตภัณฑ์ชีสของแบรนด์ Imperial นวัตกรรมโปรตีนจากพืช (Plant Based), Imperial Salad Cream สลัดครีมสูตรวีแกน ไม่มีส่วนผสมจากไข่ ปราศจากคอเลสเตอรอล, Allowrie MCT Butter เนยของแบรนด์ Allowrie ที่มีการเติมวิตามินและกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสำหรับผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Keto, หรือ Allowrie Smart Kids ชีสแผ่นสำหรับเด็กที่มีส่วนผสมให้แคลเซียมสูงและมีโอเมก้า 3, และ Baker’s Choice Crackers ขนมแครกเกอร์ Baker’s Choice โดยส่วนผสมที่มีประโยชน์ เช่น ถั่วอัลมอนด์ ธัญพืช Whole Grain มีธาตุเหล็ก แคลเซียม สูตรน้ำตาล 0%
นอกจากนั้นในหลากหลายผลิตภัณฑ์ของ KCG ยังได้รับรางวัลการันตี Superior Taste Awards รางวัลการันตีด้านรสชาติมาตรฐานระดับโลก จากสถาบัน International Taste Institute ที่นับว่าเป็นเครื่องหมายการันตีรสชาติอาหารและเครื่องดื่มที่ผ่านการทดสอบและประเมินจากเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องดื่มชั้นนำ ซึ่งในปี 2567 KCG ได้รับรางวัลประเภทผลิตภัณฑ์บิสกิต ได้แก่ ผลิตภัณฑ์คุกกี้เดนมาร์กได้รับรางวัล 2 ดาว และโรซี่แครกเกอร์ได้รับรางวัล 3 ดาว - ความง่าย ความสะดวก ฟิวชั่นกับ ความคราฟท์ละเอียดพิถีพิถัน – ปัจจุบันผู้บริโภคต้องการทั้งความง่าย และความสะดวก แต่ความง่ายต้องช่วยให้สามารถได้อาหารที่มีความพิถีพิถันได้ด้วย เพราะผู้บริโภคทุกวันนี้พิถีพิถันในการปรุงอาหารและรับประทานอาหารมากขึ้น เ Snackification เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ KCG มองเห็นเสมอมา คือเพิ่มความง่ายและความสะดวกในการรับประทานผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มชีสและเนย ทำให้สามารถรับประทานได้ทุกช่วงเวลา ไม่ใช่แค่เพียงมื้อหลักเท่านั้น โดยคิดค้นนวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ ความง่าย ความสะดวก แต่ในขณะเดียวกันยังคงความละเอียดพิถีพิถันในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นเสมอ
นอกจากเรื่องความสะดวกในการรับประทานแล้ว ความ Convenience จากการใช้เทคโนโลยีในการช่วยเตรียมอาหาร ชอปปิ้ง และคุกกิ้ง ได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ก็เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคมองหา ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ อาทิ Allowrie Butter Squeeze ผลิตภัณฑ์เนยในรูปแบบหลอด, Allowrie Colored Cheese Mix การผสมผสานเอกลักษณ์ที่หลากหลายของชีสทั้ง 5 ชนิดมาไว้ด้วยกัน และ Imperial Pancake Shake แป้งแพนเค้กสำเร็จรูปบรรจุขวดที่แค่เติมน้ำแล้วเขย่าขวดก็สามารถนำมารังสรรค์เมนูแพนเค้กได้ง่าย ๆ
นอกจากการเพิ่มความสะดวกสบายที่สร้างสรรค์ให้กับผู้บริโภค KCG ยังผลิตสินค้าที่เพิ่มความสะดวกสบาย (Convenience) และตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าอุตสาหกรรมที่ง่ายขึ้นด้วย และยังคงรักษาคุณภาพให้สม่ำเสมอ อย่างสินค้าประเภท Premixed Powder Ready to Use เช่น ผงวุ้นใบเตยสำเร็จรูป

– KCG ลงสนาม THAIFEX โชว์ศักยภาพผู้นำด้าน Food Innovation เปิดตัวแก้วกาแฟกินได้ และชีสรสกะเพรา
ปี 66 เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดำรงชัย เปิดเผยว่า จากกลยุทธ์ “Fusion กินnovation” ทำให้ผลประกอบการทางธุรกิจของ KCG ในปี 2566 เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 65 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งธุรกิจในปี พ.ศ. 2501 มียอดขายรวม 7,157.0 ล้านบาท เติบโต 16.2% มีกำไรสุทธิ 305.9 ล้านบาท เติบโต 26.9%
โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) มียอดขาย 4,086.5 ล้านบาท เติบโต 15.0% ผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรีและอื่น ๆ (FBI) มีรายได้ 2,061.1 ล้านบาท เติบโต 15.3% ผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) มีรายได้ 1,009.3 ล้านบาท เติบโต 23.9%
ผลประกอบจำแนกตามช่องทางการจำหน่ายปี 2566 ผู้ประกอบการ (B2B) มียอดขาย 2,892.7 ล้านบาท เติบโต 14.2% บริโภคทั่วไป (B2C) มีรายได้ 3,938.6 ล้านบาท เติบโต 17.7% สินค้าส่งออก (Export) มียอดขาย 325.7 ล้านบาท เติบโต 18.1%
ปี 67 เตรียมเปิด KCG Logistics Park นำ EV Truck เสริมทัพ

สำหรับปี 2567 ดำรงชัย ให้ข้อมูลว่า บริษัทจะเปิดใช้ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park เต็มที่ทั้ง 6 อาคาร ซึ่งสามารถจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าได้ครบทุกอุณหภูมิ ทั้งแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) แช่เย็น (Air-Conditioned และ Chilled) และแช่แข็ง (Frozen) ซึ่งจะทำให้บริษัท สามารถบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
ในขณะที่โครงสร้างโรงงาน มีแผนจะใช้ระบบพลังงานสะอาด (Solar Rooftop) โดยในปี 2566 บริษัทฯ มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 97,042.00 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ลดลง 14.8% จากปีฐาน 2564 อีกทั้ง จะปรับระบบการขนส่งสินค้าโดยการนำ (EV Truck) เข้ามาเสริมศักยภาพ วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมดของบริษัทในอนาคต เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เติบโต-มั่นคง-ยั่งยืน พร้อมทุกสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง
ดำรงชัย พูดถึงวิสัยทัศน์ในการพัฒนาให้องค์กรตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ในอนาคตว่า วางแผนงานสานต่อความสำเร็จ ด้วยวิสัยทัศน์ ‘Transition Towards Sustainable Growth’ สร้างองค์กรสู่การเติบโต ที่มั่นคง ยั่งยืน พร้อมสู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนา 2 มิติ ได้แก่ ยุทธศาตร์ทางธุรกิจ (Business Strategy) ภายใต้การขับเคลื่อน 7 เสาหลักได้แก่ 1.) มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth), 2.) การพัฒนาบุคลากร (People), 3.) การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech), 4.) การขยายตลาดส่งออก (Export), 5.) ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory), 6.) ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation) และ 7.) การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยควบคู่ไปกับ
ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Strategy) เป็นตัวขับเคลื่อน โดยยึดหลัก “Heart – Driven – Expertise – Agile – Responsible – Teamwork” ด้วยความเชื่อมั่นว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด
ดำรงชัย กล่าวปิดท้ายว่า “KCG มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจคำนึงถึง พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และพันธมิตรอยู่เสมอ เราจึงเปลี่ยนแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดรับกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรในอนาคต และปัจจุบันบริษัทดำเนินงานด้วยนโยบายการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์บนกรอบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมในทุกกลุ่มสินค้า เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ยูโอบี ประเทศไทย เปิดตัว Sustainability Compass ขับเคลื่อนธุรกิจเอสเอ็มอีสู่ความยั่งยืน
ทีดีอาร์ไอ ร่วมกับ สดช. ผลักดันการใช้บริการคลาวด์ในหน่วยงานภาครัฐ
พาณิชย์เปิด THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 หนุน SME สินค้านวัตกรรม คาดเงินสะพัดร่วมแสนล้าน