, ,

พลังคนสร้างโลกยั่งยืน : ก้าวข้ามแรงบันดาลใจ สู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง

การสร้างความยั่งยืนในโลกปัจจุบัน เริ่มต้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียกว่า “Small Changes in Everyday Life พลัง ‘เล็ก’ ที่ ‘เปลี่ยน’ โลก” แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นเรื่องสำคัญ ในฐานะผู้บริโภค เรามักใช้เงินเพื่อตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวัน หากเราคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น เราสามารถเลือกบริโภคสินค้าที่มีส่วนในการสร้างโลกที่ดีขึ้นในอนาคตได้ ตัวอย่างเช่น การเลือกเสื้อผ้าที่ไม่ต้องรีด ลดการใช้พลังงานในทุกเช้า หรือการเลือกรองเท้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล การบริโภคเช่นนี้ไม่เพียงแต่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการ “ส่งเสียง” ออกไปถึงความตั้งใจของเราที่จะสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในทุก ๆ วันเป็นเพียงขั้นตอนแรก แต่เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงนั้น เราจำเป็นต้องมองไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมและเศรษฐกิจ การสร้างความยั่งยืนไม่สามารถทำได้ด้วยการกระทำของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคธุรกิจ รัฐบาล และชุมชน เพื่อสร้างโครงสร้างที่สนับสนุนการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคือการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน การพัฒนาระบบขนส่งที่ยั่งยืน การสร้างกฎหมายและนโยบายที่สนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมการศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความยั่งยืน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว พลัง “เล็ก” ก็สำคัญและ พลัง “ใหญ่” ก็จำเป็น บทความนี้จะพาไปดูว่าการปรับเปลี่ยนที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กมีแนวทางไหนได้บ้าง ที่จะสร้างโลกของเราให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น

เริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหา และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักทำสารคดี นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวในงาน “BE THE CHANGE ยั่งยืนได้เมื่อเราเปลี่ยน” ซึ่งจัดขึ้นโดย ‘The People’ ถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้างของการสร้างความยั่งยืน โดยเน้นให้เห็นความสำคัญ ปัญหา และความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความยั่งยืนที่กำลังดำเนินไป ซึ่งจะกระทบกับการใช้ชีวิตของเราในปัจจุบัน การเริ่มต้นด้วยตนเองเป็นสิ่งที่ดี แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างก่อนทั้งสิ้น

วรรณสิงห์ ที่เริ่มต้นจากการสังเกตสิ่งที่มนุษย์ทำกับธรรมชาติ เขามองเห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่าสงครามใด ๆ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ กรีนแลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีธารน้ำแข็งแต่ปัจจุบันธารน้ำแข็งกำลังละลาย การละลายของธารน้ำแข็งนี้จะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นถึง 7 เมตร ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะจะเห็นสัญญาณความร้ายแรงของปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถเห็นได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น พายุโซนร้อน และปะการังฟอกขาว

จากการที่เคยถ่ายสารคดีเกี่ยวกับสงคราม เขาหันกล้องมาถ่ายเรื่องราวของสิ่งแวดล้อม และตั้งใจจะสื่อสารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่การสื่อสารจากตัววรรณสิงห์เอง อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง จึงได้หันมาสร้างการสื่อสารที่จะเปลี่ยนแปลงไปถึงโครงสร้างของปัญหา หนึ่งในนั้นคือการจัดประชุมเพื่อชี้แจงปัญหาและหาทางออกร่วมกัน โดยเฉพาะภาครัฐและประชาชน รวมถึงภาคเอกชนที่สะดวกใจเข้ามาร่วม ที่จะเข้ามาช่วยกับทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ มลพิษทางน้ำ มลพิษขยะ พลังงานและการใช้ทรัพยากร ล้วนเชื่อมโยงกันและจำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและกฎหมายที่สนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม กฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอหรือยังไม่ได้รับการบังคับใช้อย่างเต็มที่ วรรณสิงห์ได้ยกตัวอย่างกฎหมายที่จำเป็นต้องมี เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด พ.ร.บ.จัดการขยะ และระบบการจัดการการปล่อยสารเคมี PRTR ซึ่งจะช่วยให้การจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตัวเราเองแต่ละคนสามารถมีส่วนร่วมในการหยุดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ตัวอย่างเช่น การปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน การประหยัดน้ำ และการลดการเกิดไฟป่าที่ออสเตรเลีย ทุกการกระทำของเรามีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์ ต้องเริ่มตระหนักได้แล้วว่า “ประเทศไทยเป็นอันดับ 9 ที่เสี่ยงโดนผลกระทบจากโลกร้อน การเริ่มต้นที่ตัวเราเองและไปจบที่การสนับสนุนและผลักดันกฎหมายในสภา จะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นหลังได้” วรรณสิงห์กล่าว

คิดให้เล็ก แล้วเริ่มทำ…สร้างความยั่งยืนจากพื้นฐานชีวิตประจำวัน แยวคิดจาก “ฟาร์มลุงรีย์”

ชารีย์ บุญญวินิจ Earth Creator และผู้บุกเบิก ‘ฟาร์มลุงรีย์’ เกษตรกรผู้มีความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างคุ้มค่า เล่าถึงแนวคิด “คิดให้เล็ก แล้วเริ่มทำ” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้น จากการตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการช่วยโลกและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การจัดการวัตถุดิบในฟาร์มจนถึงการขยายกิจการมาสู่ร้านอาหาร แนวคิดนี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในทุกภาคส่วนของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจ สร้างธุรกิจ ที่ทำแล้วมีคนอื่นได้เกิด

เริ่มต้นจากความคิดเล็ก ๆ การมองเห็นความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและประหยัดพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชารีย์ ได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเด็ก การเป็นเกษตรกรที่บริหารงานด้วยหลักการ “ใช้งานตั้งแต่หัวจรดปลาย” ทำให้เขาเข้าใจถึงการใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด แม้จะมีเงื่อนไขจำกัดก็ตาม เริ่มต้นจากการปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดีขึ้นและใช้ปุ๋ยชีวภาพ เช่น การเพาะเห็ดจากต้นเห็ดเดียว การแปรรูปผลผลิตและส่งออกไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกจากนี้ยังใช้เทคนิคการเปิดจองเห็ดเพื่อให้รู้จำนวนการเพาะเห็ดที่เพียงพอ การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร แต่ยังมอบประสบการณ์ดี ๆ จากการตัดเห็ดให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภค

แนวคิดนี้มาต่อยอดจากฟาร์มสู่ร้านอาหาร โดยเน้นการลดทรัพยากรและพลังงานที่ไม่ได้ใช้ การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังสร้างคุณค่าให้กับสังคมอย่างมหาศาล ความคุ้มทุนเกิดขึ้นจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการลดการสูญเสียในทุกขั้นตอนของการดำเนินงานการรู้จักวัตถุดิบของตนเองอย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญ การจัดการวัตถุดิบอย่างคุ้มค่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจ ผ่านการจัดการทรัพยากรคน ทรัพยากรพลังงาน และปริมาณวัตถุดิบที่เพียงพอกับการบริโภคจริง ๆ ไม่สร้างอะไรที่เปลืองเสียเปล่า ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สุดท้ายเเล้ว การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เริ่มจากตนเองสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้ ยิ่งการทบทวนการดำเนินงานธุรกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อื่นและชุมชนรอบข้าง จะกลายเป็นการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง การกระจายรายได้และการสร้างโอกาสให้กับคนในชุมชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สังคมเติบโตไปพร้อม ๆ กัน

สร้างความยั่งยืนด้วยการซ่อมแซมและใช้ซ้ำ แนวคิดจาก “Reviv (รีไวฟ์)”

อุตสาหกรรมเสื้อผ้าปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 1,200 ล้านตันต่อปี การซ่อมแซมเสื้อผ้าและการนำกลับมาใช้ซ้ำเป็นวิธีหนึ่งในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรักษาทรัพยากรให้คงอยู่ได้นานที่สุด แต่การซ่อมแซมในปัจจุบันกลับทำได้ยากเนื่องจากนายทุนส่วนใหญ่กังวลเรื่องผู้บริโภคลดการบริโภคสินค้าน้อยลง แต่หากมองกลับมุมจะเห็นได้ว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้หายไปไหน แต่เปลี่ยนไปเป็นมูลค่าที่สร้างชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภคในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การประหยัดเงินในการบริโภคและนำไปลงทุนเพื่อสร้างชีวิตที่ยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งจะส่งผลดีกับสังคมและสิ่งแวดล้อมในอนาคต

ภาคภูมิ โกเมศโสภา Co-Founder Reviv (รีไวฟ์) ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน เริ่มธุรกิจ Reviv ด้วยพันธกิจในการซ่อมและการใช้ซ้ำให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเน้นเรื่องการสร้างความยั่งยืน เวลาเราพูดถึงการจัดการขยะ ผู้คนมักจะนึกถึงการรีไซเคิล แต่เรื่องที่ใกล้ตัวและทำได้เร็วกว่าและง่ายกว่านั้นคือการรียูสหรือการใช้ซ้ำหรือการซ่อมแซมเพื่อยืดอายุการใช้งานของสินค้า ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนการรักษามูลค่าของทรัพยากรที่มีอยู่ไว้ได้มากที่สุดนั้นสำคัญกว่าการรีไซเคิลเสียงอีก เพราะการรีไซเคิลต้องแปรรูปวัสดุโดยใช้พลังงาน แต่ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันผลักดันให้คนซื้อสินค้าใหม่อยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาดถูกออกแบบมาให้อายุการใช้งานของสินค้าหมดลงอย่างรวดเร็ว ออกแบบสินค้าเพื่อลดแรงจูงใจในการซ่อมที่เรียกว่า “Plan of Obsolescence” เช่น การใช้วัสดุที่พังง่ายหรือหาอะไหล่เปลี่ยนได้ยาก การออกแบบให้ซ่อมได้ยาก หรือการตั้งราคาซ่อมให้ไม่คุ้มค่าหากเทียบกับการซื้อใหม่ เป็นต้น

หลายประเทศเริ่มรณรงค์เรียกร้องสิทธิ์ในการซ่อม (Right to Repair) กันเเล้วและนับเป็นความท้าทายกับสังคมไทยที่ยังขาดการผลักดันเรื่องนี้อยู่ สิทธิ์ในการซ่อมถูกออกแบบเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการดูแลสินค้าได้เพิ่มมากขึ้นนั้น โดยสิ่งแรกที่ต้องเริ่มต้นสำหรับสิทธิ์ในการซ่อมคือการผลิตสินค้าที่คู่ควรกับการซ่อม คุณภาพดี คงทน ซ่อมง่าย และมีราคาซ่อมที่คุ้มค่า หากมองในมุมมองของความยั่งยืน การซ่อมเป็นเหมือนการคืนอำนาจและสิทธิให้กับผู้บริโภค ในยุโรป มีกฎหมาย 4 ตัวที่ทำงานซ้อนกันในการส่งเสริมการซ่อมให้เป็นรูปธรรม:

  1. การกำหนดอายุขั้นต่ำของประกันสินค้าบางประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้มีขั้นต่ำ 2 ปี
  2. กฎหมายออกแบบสินค้าเพื่อให้มีความยั่งยืนมากขึ้นและซ่อมง่ายขึ้น
  3. การให้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลการซ่อมให้กับผู้บริโภค และป้องกันข้อมูลที่ฟอกเขียว
  4. การทำให้ราคาซ่อมสมเหตุสมผล เช่น การซ่อมง่าย ๆ ผ่านประกันหรือการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ผู้บริโภคเข้าถึงการซ่อมได้ง่าย

ผลลัพธ์จากกฎหมายเหล่านี้ จะทำให้การซ่อมเป็นแนวทางที่คนเลือกทำเป็นอันดับแรก ตลาดการซ่อมจะเติบโตไปในทิศทางที่ใหญ่ขึ้น ผู้บริโภคจะประหยัดเงินและลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจกได้มากขึ้น ในประเทศไทยเอง เรื่องการซ่อมยังถูกพูดถึงน้อยมาก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างนโยบายสิทธิ์ในการซ่อมเป็นของตนเอง ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น การสร้างเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกต่อสิทธิ์ในการซ่อม, การทำแพลตฟอร์มส่งเสริมร้านซ่อมใหม่ ๆ และการสร้างคอมมูนิตี้ที่จะส่งเสริมผู้บริโภคในเรื่องการซ่อม

ภาคภูมิ ยังมีการผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่ออำนวยสิทธิเรื่องการซ่อมให้กับผู้บริโภคและต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ อาทิ Reviv Repairability Index: ออกแบบการสร้างมาตรฐานเพื่อบอกระดับที่สินค้าจะสามารถซ่อมได้แบบง่ายในระดับสากล, WonWon Platform: การเชื่อมระบบผู้ซ่อมเข้ากับผู้พัฒนาระบบแพลตฟอร์มที่เชื่อมให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการใช้งานอย่างง่ายขึ้น และ Repair Cafe Pilots: สร้างพื้นที่ให้ Repair Cafe กระจายอยู่ตามชุมชน เป็นเหมือนร้านซ่อมเบื้องต้นในการซ่อม

ตัวอย่างธุรกิจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ “เรือไฟฟ้าสุขสำราญ”

ศิระ ลีปิพัฒนวิทย์ เจ้าของธุรกิจ ‘เรือไฟฟ้าสุขสำราญ’ ก่อตั้งธุรกิจเรือนำเที่ยวย่านฝั่งธนบุรี ภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวที่ไม่สร้างภาระให้กับโลกใบนี้เลย ผู้ร่วมทริปจะไม่สร้างขยะให้โลก เน้นการท่องเที่ยวยั่งยืนและใช้พลังงานสะอาดจากพลังงานแสงอาทิตย์ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่ไม่ทิ้งร่องรอยให้กับโลก การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนเรือช่วยลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่ไม่ยั่งยืน อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ เมื่อเรือนักท่องเที่ยวเดินทางผ่าน สายน้ำที่ผ่านจะยังคงความสะอาดและคุณภาพดี ให้กับลูกหลานในอนาคต เป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม

แต่ปัจจุบันปัญหาการย้อมเขียว (greenwashing) เป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อย ศิระจึงอยากให้ผู้ที่ดำเนินธุรกิจตระหนักถึงความจริงใจและความจริงจังในการดำเนินธุรกิจให้มากๆ ตัวเขาเองใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการขับเคลื่อนเรือ และใช้ตู้เย็นแทนการซื้อน้ำแข็ง เพื่อลดการสร้างขยะ มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบ Zero Invision (การท่องเที่ยวแบบไม่ทิ้งร่องรอยของขยะ) และทำให้ชุมชนชาวบ้านเห็นถึงความเป็นไปได้ของการท่องเที่ยวยั่งยืน เพราะอยากสร้างความร่วมมือในการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กับผู้คนในชุมชน ด้วยความตั้งใจแน่วแน่และการส่งต่อความจริงใจเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกเรือและนักท่องเที่ยว แต่ยังสร้างคอมมูนิตี้ให้กับคนที่สนใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ศิระเชื่อว่า การสร้างคอมมูนิตี้ที่มีเป้าหมายเดียวกันจะช่วยให้การท่องเที่ยวยั่งยืนเป็นไปได้อย่างยั่งยืน

ดังที่กล่าวไปทุกๆ แนวทางข้างต้น ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่อาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ สิ่งที่เราสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ลดการใช้พลาสติก ประหยัดพลังงาน และลดการสร้างขยะ การเริ่มต้นจากการคิดเล็กๆ และสามารถทำได้จริงกับสิ่งที่ใกล้ตัว จะช่วยให้โลกดีขึ้นได้โดยไม่ต้องรอให้ใครบอก และส่งผลให้คนหลายคนตระหนักเรื่องปัญหา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่จะช่วยผลักดันเชิงโครงสร้าง พร้อมสร้างโลกที่น่าอยู่ได้อย่างยั่งยืนมากที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จริงหรือที่เอเจนซี่โฆษณาใกล้ตาย มาเริ่มต้น AI Agency ดีกว่า

รวมเทคนิคการใช้ “Gemini” ผู้ช่วย AI จาก Google ใช้ง่าย ใช้ได้จริง

ส่องภารกิจ “AIEAT” ปลดล็อกสตาร์ตอัพ AI ดันไทยสู่ผู้นำปัญญาประดิษฐ์อาเซียน

×

Share