, ,

3 พันธมิตรไทย-ไต้หวัน ผนึกกำลัง ให้บริการ AI ครบวงจร ผ่าน ‘เฮกซ่าเทคโซลูชั่นส์’

AI เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งข้อมูลจาก www.statista.com ชี้มูลค่าตลาด AI ของไทย ปี 2567 อยู่ที่ 951.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32,338 ล้านบาท) และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR 2024-2030) ถึง 28.55% ส่งผลให้ปริมาณตลาดอยู่ที่ 4,292 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 145,928 ล้านบาท) ภายในปี 2573

ทั้งนี้ ตลาดขนาดใหญ่ที่สุดอยู่สหรัฐอเมริกา โดยปี 2567 มีมูลค่า 50,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท) 

Dr.Howard Hsieh เลขาธิการ สมาคมเอไอไต้หวัน ให้ข้อมูลว่า จากสถิติแล้วการใช้ AI ในประเทศไทยยังไม่เทียบเท่าประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรมล้ำสมัยที่เป็นระบบอัตโนมัติมากกว่า แต่อุตสาหกรรมไทยต่างตื่นตัวและเริ่มเข้าใจเรื่อง AI เพียงแต่ยังไม่นำไปใช้ในวงกว้าง

ยกตัวอย่างไต้หวัน มีโรงงานผู้ผลิตชิปป้อนบริษัทขนาดใหญ่และตลาดโลก มีข้อมูล และระบบอัตโนมัติพร้อม การใช้ AI จึงก้าวหน้า

ดร.สัมพันธ์ศิลปนาฏ ประธานสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เห็นว่า แม้ไทยจะยังไม่เทียบเท่าประเทศอื่น แต่มั่นใจว่า ถ้าก้าวต่อไปในระดับความเร็วปัจจุบัน จะตามทันโลก เพราะทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต่อตื่นตัวเรื่อง AI กันมาก

ล่าสุด บริษัท เฮกซ่าเทค โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งเกิดจากร่วมทุนระหว่าง ICS และ กลุ่มแพคริม ได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Profet AI สตาร์ตอัปด้าน AI Machine Learning

ร่วมมือไทย-ไต้หวัน

บัญชาธรรมารุ่งเรือง ซีอีโอ บริษัท เฮกซ่าเทค โซลูชั่นส์ จำกัด เล่าว่า จากการที่ ICS เป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี ที่เชี่ยวชาญด้านพัฒนาซอฟต์แวร์, clouds,  data services และ AI ทำงานไอทีโปรเจ็กต์ แก่หน่วยงานรัฐ และเอกชน ทำให้พบ pain points ว่า การนำ AI มาใช้และได้ผลลัพธ์อย่างยั่งยืน ไม่เพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่รวมถึงธุรกิจ ที่ต้องใช้แล้วตอบโจทย์การลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และคนต้องมี mindset การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานหากคนไม่ยอมรับหรือขาดความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การเปลี่ยนแปลงจะล่าช้า หรือได้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

“เราเชื่อว่าในยุค AI องค์กรหรือคนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องผสมผสานทั้งจุดแข็งของมนุษย์และเทคโนโลยีไปด้วยกัน”

ICS จึงร่วมมือกับกลุ่มแพคริม บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผู้นำและองค์กรชั้นนำของไทย ที่มีประสบการณ์มากกว่า 3 ทศวรรษ และมีเครือข่ายระดับโลกในกว่า 30 ประเทศ ตั้งบริษัทเฮกซ่าเทคขึ้น เพื่อบูรณาการการทรานส์ฟอร์มองค์กรให้ประสบผลสำเร็จโดยขับเคลื่อนทั้งในด้านเทคโนโลยี คน และธุรกิจ (Business + People + Technology)

Profet AI ทำงานโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

ขณะเดียวกัน ได้เสาะหา Partner เก่งๆ จากทั่วโลก โดยเฉพาะด้าน Machine Learning ซึ่งพบว่า ไต้หวันจะเก่งเรื่องนี้ และได้พบและร่วมมือกับ Profet AI สตาร์ตอัป เจ้าของเทคโนโลยี “No-Code, Auto Machine Learning” ซึ่งทำงานเปรียบเสมือนเป็น Virtual Data Scientist ให้แก่ผู้ใช้งาน สามารถนำแพลตฟอร์มและแอพพลิเคชัน AI นี้ไปใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือโปรแกรมเมอร์มานั่งเขียนโค้ดโปรแกรม และสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้เพื่อสร้างผลลัพธ์ในเวลาอันรวดเร็ว

ที่ผ่านมา มีลูกค้าในกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เซมิคอนดักเตอร์ และเคมีภัณฑ์ มีประสบการณ์สนับสนุนลูกค้า 20 อุตสาหกรรม จำนวนกว่า 300 ราย

การร่วมมือกันครั้งนี้ จะนำแพลตฟอร์มของ Profet AI มาให้บริการลูกค้าไทย โดยมุ่งเป้าองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ก่อน เพราะเป็นองค์กรที่ซับซ้อน หากไม่มีเทคโนโลยีมาใช้จะค้นพบการลดต้นทุนได้ยาก และการมีพนักงานจำนวนมาก ทำให้เกิดความซับซ้อนในกระบวนการทำงานสูง หากนำ AI มาใช้จะได้ผลสูงกว่า เร็วกว่า

“งบประมาณอาจไม่ใช่ประเด็นใหญ่ เพราะเราแนะนำให้เริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เป็น Pain Point จริงๆ ใช้งบประมาณไม่สูง หากเทียบกับการลงทุนระบบอัตโนมัติในโรงงานต้องใช้ 10-30 ล้านบาทขึ้นไป แต่ AI ใช้หลักแสนบาท เมื่อเห็นผลแล้วค่อยขยาย ซึ่งการวัดผลวัดตาม KPI ของลูกค้า เท่าที่ทำมาเห็นผลเร็วสุดภายใน 3 เดือน แต่โดยทั่วไปเห็นผลประมาณ 1 – 1 ปีครึ่ง”

บริษัทมีบริการและโซลูชัน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. Integrating AI into Business Strategies: หลักสูตรสำหรับผู้บริหารองค์กรเพื่อการจัดทำกลยุทธ์และโร้ดแมพด้าน AI และการประสานกลยุทธ์ AI กับกลยุทธ์องค์กร 2. AI Simulation for Business Bootcamp: การจำลองประสบการจริงในขั้นตอนการนำ AI ML มาประยุกต์ใช้กับ Use cases ต่าง ๆ เพื่อย่นระยะเวลาให้เห็นผลลัพธ์ในเวลาเพียงแค่ 2 วัน จากปกติที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน 3. AI Solutions & Services: บริการด้านคำปรึกษาและการอิมพลีเมนต์โซลูชัน AI

ปัจจุบัน มีลูกค้าติดต่อมากว่า 100 ราย และบริษัทมุ่งจะให้บริการได้ครบภายในปีนี้

PCB อนาคตการผลิตใหม่ของไทย

ดร.สัมพันธ์ยังให้ข้อมูลด้วยว่าการเปลี่ยนอุตสาหกรรม 2.0 เป็น 4.0 ของไทย อาจเกิดขึ้นโดยการเข้ามาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board) จากไต้หวัน และจีนที่กำลังย้ายเข้าไทย ซึ่งเป็นแผงวงจรรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีอยู่ในตัวเป็น Smart Electronics โรงงานผลิตจะเป็นระบบอัตโนมัติ 

ฉะนั้น การเตรียมคนต้องเป็นคนสำหรับอนาคต เป็น Global Citizen ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศผลิตบุคลากรด้าน Semiconductor & Advanced Electronics จำนวน 80,000 คน ด้าน EV 150,000 คน และด้าน AI 50,000 คน ตามลำดับ โดยเป็นแผนระยะสั้น – กลาง – ยาว

“ไม่ว่า เทคโนโลยีอะไรจะมา เราก็พร้อมที่จะรับ และเป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้า ก่อนที่นักลงทุนต่างชาติจะตั้งคำถามว่า เรามีคนพร้อมหรือไม่”

ส่วนสถานการณ์การจ้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในอัตราคงที่ จากสถานการณ์การ Disrupt ทั่วโลก ทั้งด้านเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงขึ้น เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่งที่สูงขึ้นประมาณ 3 เท่า และน่าจะคงสถานะนี้ไปอีก 1 ปี หลังกลางปี 2568 จึงจะเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากการจัดการเศรษฐกิจโลก

พร้อมกันนี้ ดร.สัมพันธ์ ยังให้ความเห็นว่า ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง แต่ให้มองในเทคโนโลยีขาขึ้น และ New Technology

×

Share